‘Height Shaming’ การวิจารณ์ส่วนสูงที่ทำให้บางคนอาจเกิดบาดแผลทางใจ

เตี้ยไปก็โดนด่าว่าแคระ สูงไปก็หาว่าเป็นเสาไฟฟ้า เมื่อการวิจารณ์เรื่องส่วนสูงทำร้ายใครหลายคน

TW: มีการพูดถึงชุดคำศัพท์ -shaming หลายครั้งที่คนตัวเตี้ยอยากสูง คนตัวสูงอยากเตี้ย เพราะไม่ว่าจะสูง หรือเตี้ย คนเราต่างถูกวิจารณ์ส่วนสูงกันมาอย่างยาวนาน โดยที่คนแซว หรือบูลลี่ ไม่คิดเลยว่านั่นคือการ Body Shaming ประเภทหนึ่งเหมือนกันที่เรียกว่า ‘Height Shaming’ การวิจารณ์ส่วนสูงที่ทำให้คนฟังเสียความมั่นใจ และบางคนอาจเกิดบาดแผลทางใจที่ลบได้ยาก แน่นอน การจะเป็นคนดูดีถูกใจตามค่านิยมความงามที่แปรผันไปตามกระแสสังคม มันเหนื่อยชะมัดยาก ยิ่งสังคมคาดหวังมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนที่ถูกบูลลี่ รักตัวเองน้อยลง เห็นคุณค่าของตัวเองน้อยลง และมันอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้ตั้งแต่การขาดความมั่นใจที่จะเข้าสังคม บุคลิกภาพที่เปลี่ยนไป มีอาการซึมเศร้า ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ และที่เราอยากจะขีดเส้นใต้ไว้เลยคือ ***การบูลลี่ส่วนสูงก็ไม่ได้รุนแรงน้อยกว่าการวิจารณ์เรื่องหุ่นว่าอ้วน ว่าผอม สักเท่าไหร่*** อย่างไรก็ตาม วันนี้เราจะขอพูดถึงสิ่งที่เกิดกับผู้หญิงก่อนเป็นหลัก สำหรับผู้หญิงสูง พวกเธอหลายคนเติบโตท่ามกลางค่านิยม “ผู้หญิงตัวเล็ก น่ารัก น่าทะนุถนอม”, “ผู้หญิงต้องเตี้ยกว่าผู้ชาย” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเราเป็นคนสูงที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนตัวเล็ก เราจะกลายเป็นคนที่สูงโดดขึ้นมาเหมือนแป้นเปียโนโน้ตหนึ่งที่ไม่ถูกบรรเลง เหมือนขวดน้ำสูงยืนข้างแก้วน้ำ เหมือนภูเขาใหญ่กลางทะเลแนวระนาบ รู้สึกแปลกประหลาด ผิดที่ผิดทาง เหมือนความเป็นหญิงในตัวถูกกัดกร่อน ผู้หญิงสูงจำนวนหนึ่งถูกล้อว่า โย่ง เปรต ยักษ์ เสาไฟฟ้า หรือบางรายก็ลามไปถึงตัดสินเรื่องความสัมพันธ์ว่า “สูงแบบนี้ หาแฟนยาก” ซึ่งจริงๆ ถ้าคนเขาจะรักเราจริง ส่วนสูงมันไม่ใช่ปัญหา และความเป็นหญิงไม่ได้วัดกันที่ส่วนสูง ไม่ใช่ทุกคนจะให้กำลังใจตัวเองได้ในวันที่สังคมมองว่าคนสูงไม่ตรงค่านิยมความเป็นหญิง เว้นแต่หากทำอาชีพนางแบบ หรือนักแสดง อาจจะถูกชื่นชมสัดส่วนบ้าง ถ้าอาชีพนั้นให้ความสำคัญกับส่วนสูง แต่กลับผู้หญิงสูงทั่วไป บางคนเคยเดินหลังค่อมเพื่อให้ดูไม่สูงโดด เห็นส้นสูงสวยถูกใจ แต่ไม่กล้าใส่เพราะกลัวจะสูงไปมากกว่านี้ อยากใส่กระโปรง หรือกางเกงสั้น ก็ดูโป๊กว่าปกติด้วยช่วงขาที่ยาว หรือแม้กระทั่งการหาเสื้อผ้าใส่ยาก เมื่อกางเกงไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคนสูง จึงทำให้ขาเต่อกว่าปกติ ยังมีบางคนที่คบหากับแฟนหนุ่มที่สูงน้อยกว่า ก็ถูกบูลลี่ว่าคบกันไปได้ยังไง หรือมองเป็นเรื่องแปลกประหลาด ปรากฎว่าทั้งแฟนหนุ่ม ทั้งเจ้าตัว กลับถูกวิจารณ์กันไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทั้งคู่ก็ต้องปลอบประโลมใจกันเอง ขณะที่คนวิจารณ์พ่นคำพูดแย่ๆ ออกมาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนคู่รักอย่างทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) และ เซนดาย่า (Zendaya) ที่ฝ่ายชายมีส่วนสูงน้อยกว่าฝ่ายหญิง จนถูกคนบางกลุ่มในสังคมตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของคู่นี้ว่ามันได้เหรอ มันเวิร์คเหรอ ด้านทอมก็ตอบกลับสั้นๆ ว่า “นี่เป็นสมมติฐานที่โง่เง่าที่สุด” ที่คนเอาไปเดากันเองว่าความสัมพันธ์จะมีปัญหาเพราะส่วนสูง ส่วนเซนดาย่าก็ตอบว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะ “แม่ฉันก็สูงกว่าพ่อฉัน แม่ฉันสูงกว่าทุกคนเลยค่ะ” โชคดีที่ทั้งคู่ยังยึดมั่นในความรัก ช่วยกันซัพพอร์ตกันและกัน และมีทัศนคติต่อโลกที่ดี แต่ในบางคู่ หากโดนบูลลี่มากๆ ก็ไม่ใช่ทุกคู่จะฝ่าฟันคำวิจารณ์ไปจนสุดทาง ผู้หญิงสูงบางคนอาจจะไม่กล้ารักใคร แม้คนที่ไปหลงรักจะเป็นคนที่เธอชอบมากๆ แต่ติดที่ส่วนสูง ที่อาจทำให้ไม่กล้าคบกับผู้ชายเตี้ยกว่า แบบนี้ก็ชัดแล้วว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิงสูง แต่เป็นที่ชาวบ้านขี้เผือก ซึ่งหล่อหลอมค่านิยมที่กระทบจิตใจคนอื่น จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงสูงจะอยากเตี้ยลงสัก 10-20 เซนติเมตร เพราะอยากลิ้มรสบรรยากาศการถูกยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นหญิงมาตรฐานที่ผู้คนชื่นชอบบ้าง และหวังจะมีชีวิตที่ไม่ถูกบูลลี่อีก แต่เอาเข้าจริง คนมันจะไม่ชอบเรา เราเป็นยังไงเขาก็ไม่ชอบเราอยู่ดี ซึ่งเราไม่ได้ผิดในเรื่องนี้เลย ด้านผู้หญิงเตี้ย พวกเธอพบกับโลกที่คนเชิดชูผู้หญิงส่วนสูงกลางๆ ไม่สูง ไม่เตี้ย ที่แต่งตัวแล้วคนมองว่าสมส่วน เพราะเมื่อตัวเล็ก หลายคนมักถูกวิจารณ์ว่าใส่แบบนี้แล้วจะดูตัวตัน ดูแคระ ดูเป็นหลุมเป็นบ่อ ซึ่งฟังแบบนี้บ่อยๆ ก็เสียเซลฟ์กันได้ เราจึงเห็นผู้หญิงไม่สูงพยายามแต่งตัวให้ดูขายาว ดูสูงโปร่งกันมากขึ้น รวมถึงเลือกใส่รองเท้าเสริมส้น ทั้งเพื่อความพอใจของตัวเอง และเพื่อให้ไม่ถูกวิจารณ์ว่าชุดนั้น ชุดนี้ไม่เหมาะกับเธอ และพอตัวเล็ก แต่สังคมยังคาดหวังให้ผู้หญิงผอมเพรียวที่สุดตามบิวตี้สแตนดาร์ด คนที่อ้วนท้วม ขณะเดียวกันก็ไม่สูงไปด้วย จึงถูกบูลลี่ซ้ำซ้อนว่า “อ้วน เตี้ย” ที่เราได้ยินคำวิจารณ์นี้ในสังคมกันมานาน เท่ากับว่า แม้คุณจะตัวเล็ก คุณก็ยังหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์จากสังคมไม่ได้ เหมือนทำยังไงก็ไม่มีทางให้ทุกคนมาพอใจได้ทั้งหมด และนั่นทำให้ผู้หญิงตัวเล็ก รู้สึกอยากสูงขึ้น เพื่อให้รูปร่างทางกายภาพของเธอดูสมส่วน ผู้หญิงเตี้ยอาจจะไม่ได้พบเจอการถูกบูลลี่ด้านความสัมพันธ์โรแมนติกกับคนรักเท่าผู้หญิงสูง เพราะผู้หญิงตัวเล็กกว่าผู้ชาย เป็นภาพจำในอุดมคติของสังคมไปแล้ว แต่ใช่ว่าผู้หญิงเตี้ยจะไม่ถูกค่านิยมนี้แว้งมาทำร้าย บางคนมองว่าความตัวเล็ก = อ่อนแอ และเธออาจเจอคนท็อกซิก ที่ดูถูกว่าทำอะไรไม่เป็น บอบบาง เหยาะแหยะ หรือต้องพึ่งพาผู้ชายตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็เป็นการผลิตภาพจำผิดๆ ไม่รู้จบ เพราะผู้หญิงเตี้ยอาจจะไม่ได้เซนซิทีฟต่อเรื่องนั้น เรื่องนี้ และอาจไม่ได้ต้องการให้ใครมาแสดงท่าทีปกป้องขนาดนั้นก็ได้ กลับกัน ผู้หญิงสูงจะถูกคนมองว่า ทึก อึด ทน แข็งแรง และคงจะไม่มีมุมอ่อนหวาน อ่อนแอ ทั้งๆ ที่จริง พวกเธออาจจะมีมุมนั้นก็ได้หนิ แถมผู้หญิงเตี้ย ยังถูกจำกัดความสามารถไว้เพราะค่านิยมความสูงในหลากหลายอาชีพ แม้เธอจะมีความฝันอยากจะเป็น อยากจะทำ แต่ส่วนสูงที่ไม่ถึงตามเกณฑ์ก็ทำให้ฝันอันแรงกล้ามอดดับลงได้ เช่น อาชีพนางแบบ หรือแอร์โฮสเตส ฯลฯ จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะคุณจะเป็นผู้หญิงเตี้ย หรือผู้หญิงสูง เมื่อคุณก้าวขาเข้าไปในแต่ละสังคม คุณจะเจอกับค่านิยมความสูงที่ไล่ล่า โบยตี ทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เสมอ ถึงแม้โลกมันจะไปไกลมากแล้ว แต่หลักฐานว่าโลกอาจไปไกลแค่วัตถุ คือการที่ยังมีคนคิดว่าเรื่องบูลลี่ วิจารณ์รูปร่าง ส่วนสูงคนอื่นเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ รวมถึงการสเตริโอไทป์ผู้หญิงคนนู้น คนนี้ว่าเป็นแบบโน้น แบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่คนเขาก็ทำๆ กัน ซึ่งนี่มันคือความคิดโบราณ และดึกดำบรรพ์มากเลยนะ

ในประเทศจีนมีวัฒนธรรมย่อมๆ ของหนุ่มสาว ที่จัด ‘ปาร์ตี้วันลาออก’ ขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการทวงคืนอิสระ และความสุขในชีวิตของตัวเองกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางค่านิยมสังคมและครอบครัวที่คาดหวังให้ลูกหลาน “จงทำงานให้หนัก” เพื่อความสำเร็จในชีวิต

สุขสันต์วันลาออก! เมื่อหนุ่มสาวชาวจีนหันมาจัดปาร์ตี้ฉลองวันลาออก เพื่อคืนความสุขให้กับตัวเอง และเลิกบูชาค่านิยมการทำงานหนักจนใจพัง

หนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนประเด็นออทิสซึมมานานนับทศวรรษคือ แจ็กเคอลีน จาบลอนสกี (Jacquelyn Jablonski) ที่หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะนางแบบชั้นนำของแบรนด์แฟชั่นหลายสำนัก แต่นอกจากงานแฟชั่น เธอแน่วแน่กับการสื่อสารประเด็นออทิสติก

Jacquelyn Jablonski นางแบบสาวที่ตั้งใจสื่อสารประเด็น ‘ออทิสติก’ จากการเติบโตมากับน้องชายออทิสติกแต่กำเนิด

For the Love of Men: From Toxic to a More Mindful Masculinity (2019) คือหนังสือของ ลิซ แพลงค์ (Liz Plank) ที่ได้รับความชื่นชมอย่างหนาหู ว่าเป็นหนังสือที่อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจและพูดถึงความเป็นชายอันแสนเป็นพิษโดยปราศจากท่าทีเหมารวม

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Social Issues

เตี้ยไปก็โดนด่าว่าแคระ สูงไปก็หาว่าเป็นเสาไฟฟ้า เมื่อการวิจารณ์เรื่องส่วนสูงทำร้ายใครหลายคน

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS