ขณะที่หลายคนเข้าใจตรงกันแล้วว่าทรงผมนักเรียนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับประสิทธิภาพในการเรียนรู้ แต่ในทางปฏิบัติ เด็กๆ หลายคนยังคงถูกครูตัดผมที่โรงเรียนเพียงเพราะมองว่า ‘ผิดระเบียบ’ 


ทรงผมเป็นเรื่องตัวตน ไม่ใช่วินัย รับฟังมุมมองจากเด็ก-ผู้ใหญ่  จากเวทีเสวนา Dove #LetHerGrow

ขณะที่หลายคนเข้าใจตรงกันแล้วว่าทรงผมนักเรียนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และใครอยากไว้ผมทรงไหนก็ควรเป็นสิทธิของคนนั้น แต่ในทางปฏิบัติ เด็กๆ หลายคนยังคงถูกครูตัดผมที่โรงเรียนเพียงเพราะมองว่า ‘ผิดระเบียบ’&nbsp;และขณะที่สังคมไทยยังไม่พบทางออกหนึ่งเดียวกัน Dove ก็ได้ทำแคมเปญ #LetHerGrow ที่เป็นที่พูดถึงอย่างล้นหลามในช่วงเดือนที่ผ่านมา เพื่อร่วมส่งเสียงไปสู่สังคมอีกทางหนึ่งล่าสุดนี้ Dove ยังได้ต่อยอดบทสนทนาเรื่องทรงผมของนักเรียนให้ไปไกลขึ้นอีก ในเวทีเสวนาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องกฎข้อบังคับในโรงเรียนไทย ที่ชักชวนตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ เช่นกระทรวงศึกษาฯ ตัวแทนของฝั่งพ่อแม่ผู้ปกครอง และตัวแทนของเด็กมาพูดคุยกันถึงมุมมองของแต่ละฝ่าย และหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ทำไมกระทรวงศึกษายังต้องมีกฎข้อบังคับเรื่องทรงผมนักเรียนอยู่อีก? นี่น่าจะเป็นคำถามในใจใครหลายคน และบนเวทีเสวนา ก็ได้ ดร.นิพนธ์ ก้องเวหา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นผู้บอกเล่าถึงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการเรื่องทรงผม ว่าไม่ได้หยุดอยู่กับที่เสียทีเดียว แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนไปเมื่อ 2 ปีก่อนเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและสังคมที่เปลี่ยนไป&nbsp;โดยคณะกรรมการสถานศึกษาได้ให้อำนาจกับโรงเรียนแต่ละโรงเรียนในการจัดการว่าทรงผมที่แตกต่างจากที่กระทรวงกำหนดนั้น เป็นอะไรได้บ้าง&nbsp;“ตามระเบียบแล้วทรงผมของผู้ชายจะสั้นหรือยาวก็ได้ แต่ผมด้านหลังจะต้องไม่ยาวเลยตีนผม ต้องเหมาะสมและเรียบร้อย ส่วนผู้หญิงจะสั้นหรือยาวก็ได้ ถ้ายาวจะต้องเหมาะสม รวบให้เรียบร้อย แต่ถ้าโรงเรียนอยากออกกฎระเบียบใดนอกเหนือจากนี้ ก็ให้เกิดจากความเห็นชอบของกรรมการสถานศึกษานั้นๆ…”&nbsp;เมื่ออำนาจอยู่ที่ผู้บริหารของแต่ละโรงเรียน แต่เรายังคงเห็นหลายโรงเรียนเลือกที่จะยึดตามระเบียบของกระทรวงอย่างเคร่งครัด จึงเป็นประเด็นที่ชวนให้คิดต่อว่า หากกระทรวงศึกษาธิการพร้อมสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงจริงๆ อาจต้องมีนโยบายใดๆ ที่ชัดเจนกว่านี้ไหม และเราควรทำอย่างไรกันดี ให้ผู้บริหารทั้งหลายพร้อมใจกันเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ กันจริงๆ จังๆ สักทีขณะที่ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ ชวนตั้งคำถามกับประเด็นที่ว่า “การตัดผมคือการฝึกวินัยเด็ก” ทั้งที่ทรงผมไม่ใช่เรื่องวินัย แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวตน เป็นเรื่องของเนื้อตัว ร่างกาย ครูทั้งหลายที่ตั้งกฎเรื่องทรงผมอาจจะต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่า การบังคับให้มีทรงผมตามกฎระเบียบส่งผลให้เด็กสูญเสียการเป็นตัวตนหรือไม่ และส่งผลดีต่อนักเรียนจริงหรือความคิดเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนจากแขกรับเชิญอีกคนในงาน ซาร่า-รัศมี สท๊วต นักแสดงในแคมเปญโฆษณา Dove #LetHerGrow ในฐานะตัวแทนของเด็กนักเรียนที่เล่าประสบการณ์ว่าตัวเธอเองเป็นลูกครึ่งจึงมีผมสีน้ำตาลอ่อน แต่ก็ถูกครูตำหนิและทำโทษต่อหน้าคนอื่นๆ เพราะคิดว่าเธอทำสีผม จนทำให้เธออับอายและเสียความเป็นตัวเองไปในช่วงนั้นทางด้าน ดร.กัลยารัตน์ เมธีวีรวงศ์ ประธานฝ่ายการฝึกอบรม สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผู้ร่วมการเสวนาอีกท่านร่วมแชร์มุมมองในฐานะหน่วยงานที่ทำงานใกล้ชิดกับครูและโรงเรียนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกฎทรงผม ครูทำไปด้วยความรักและความปรารถนาดีที่สั่งสมกันมารุ่นต่อรุ่น ซึ่งบางครั้งอาจจะเกิดการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมจริงๆ และเชื่อว่าการตัดเสื้อตัวเดียวให้ใช้กันทั้งประเทศไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ จึงอยากฝากให้โรงเรียนหาทางออกในเรื่องนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเด็กด้วยแม้เราจะยังเห็นมุมมองที่ยังเหลื่อมๆ กันอยู่จากแต่ละฝั่ง แต่หากวันหนึ่งเราปลดล็อกระเบียบทรงผมนักเรียนขึ้นมาจริงๆ จะไม่เพียงแต่ทำให้นักเรียนคลายความอึดอัด แต่ยังทำให้นักเรียนได้ลองปรับตัวและโอบรับในตัวตนของกันและกันตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ทั้งยังไม่ต้องถูกบังคับให้เคยชินกับการใช้อำนาจ ที่ผู้ใหญ่จะมาแตะต้องเนื้อตัวหรือบีบบังคับอย่างไรก็ได้ ภายใต้การอ้างกฎระเบียบและ Dove เอง ก็พร้อมจะผลักดันเรื่องนี้ต่อ นางสาวผกาฉัตร เตชาบูรพานนท์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายพัฒนาตลาด ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดฟ กล่าวว่า ในระยะยาวแบรนด์ยังจะผลักดันประเด็นนี้ผ่านกองทุน Growth Fund โดยศึกษาวิจัยและให้ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ และทำงานร่วมกับโรงเรียนและนักการศึกษาในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยให้เด็กได้เสริมสร้างอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง และสามารถใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างมีอิสระและมั่นใจและวันหนึ่งเราน่าจะได้เห็นโรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ให้อิสระเด็กๆ ในการเรียนรู้และเป็นตัวเองไปพร้อมๆ กันได้จริงๆ กันสักที

นี่คือการถามจริง ตอบจริง แบบไม่เตี๊ยม ไม่มีบท ของ Dose of society แอคเคานต์ที่เราบังเอิญเจอในอินสตาแกรมที่ออกไปยื่นไมค์สัมภาษณ์ผู้คนตามท้องถนนทั่วทุกมุมโลก ด้วยไอเดียที่ว่า Real People, Real Stories คุยกับคนจริง กับเรื่องจริงๆ ของพวกเขา

Dose of society คอมมิวนิตี้ที่พาไปฟังผู้คนทั่วโลกด้วยคำถามง่ายๆ แต่ทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

เมื่อพูดถึงความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงต่อผู้หญิง หลายคนอาจเห็นภาพการลงไม้ลงมือทำร้าย แต่อันที่จริง การใช้คำพูดทำร้ายอีกฝ่ายโดยเฉพาะในคู่รัก ก็นับเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งเช่นกัน 

ผู้หญิงมักถูกคนรักของตัวเองใช้คำพูดทำร้ายด้วยเรื่องไหนบ้าง?

ด้วยสังคมชายเป็นใหญ่ที่ชัดเจนและพลังแรงในเกาหลีใต้ ทำให้ผู้หญิงสาวหลายคนในประเทศพากันใช้ชีวิตตามวิถี 4 No หรือ 4B Movement ที่เป็นการหันหลังให้กับบทบาทของเพศหญิงตามแบบที่สังคมกำหนด ซึ่งก็ได้แก่ ‘biyeonae’ (ไม่ออกเดต) ‘bisekseu’ (ไม่มีเซ็กซ์) ‘bihon’ (ไม่แต่งงาน) และ ‘bichulsan’ (ไม่มีลูก) แต่ล่าสุดนี้ ดูเหมือนสาวอเมริกันก็เริ่มจะหันเข้าสู่วิถี 4B กันบ้างแล้ว หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณของการก้าวถอยหลังเรื่องสิทธิสตรีไปโดยปริยาย


MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

ทรงผมเป็นเรื่องตัวตน ไม่ใช่วินัย รับฟังมุมมองจากเด็ก-ผู้ใหญ่ จากเวทีเสวนา Dove #LetHerGrow

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS