แทนที่เซ็กซ์จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ผู้หญิงยังคงเผชิญความรู้สึกไม่มั่นใจในร่างกาย

งานวิจัยชี้ ยิ่งผู้หญิงไม่ชอบร่างกายตัวเอง ยิ่งทำให้ความสุขทางเพศลดลง

แทนที่เซ็กซ์จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่ยังมีผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญความรู้สึกไม่มั่นใจในร่างกายของตัวเอง ไม่ว่าจะเซลลูไลท์ ขนาดพุง รอยสิวตามร่างกาย ขนาดหน้าอก หรือรวมไปถึงหน้าตาของจิ๋ม ที่ทำให้มองรูปลักษณ์ตัวเองในแง่ลบจนอยากจะปกปิด หรืออายที่จะให้คู่นอนของตัวเองได้เห็น และตอนนั้นแหละที่ส่งผลให้พวกเธอไม่ได้รับความสุขจากเซ็กซ์ได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดเกิดจากการที่ทั่วทุกมุมโลกยังไม่หลุดพ้นจากค่านิยมความงามกันได้ ผู้หญิงถูกคาดหวังให้สวยเป๊ะปังทุกสัดส่วนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งถ้าถามว่าความงามตามมาตรฐานผิดไหม คงต้องบอกว่าไม่เคยผิด แต่ถ้าจะมีเรื่องผิดก็คงเป็นกันที่คนในสังคมใช้มาตรฐานนั้นดูถูกคนนอกมาตรฐานเสียมากกว่า และความไม่มั่นใจของร่างกายนั้นส่งผลต่อความไม่พึงพอใจทางเพศของผู้หญิงขณะมีเซ็กซ์ ที่มีหลายงานวิจัยมายืนยันว่ามันเป็นปัญหา ยกตัวอย่างงานวิจัยแรกจากวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin ฉบับเดือนกรกฎาคม ปี 2564 ที่สำรวจความเชื่อมโยงระหว่างการมองภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ดี และคุณภาพของความสัมพันธ์ ซึ่งภาพลักษณ์ที่ส่งผลต่อความนับถือตัวเองที่ต่ำลง หรือไม่พอใจในร่างกาย ได้แก่ น้ำหนัก รูปร่าง สัดส่วนใบหน้า ขนาดหน้าอก โครงสร้างกระดูก ไขมัน เซลลูไลท์ สิว รอยแตกลาย หรือริ้วรอย จากการสำรวจคาดการณ์ได้ว่าความพึงพอใจทางเพศเชื่อมโยงกับสมมติฐานของเธอถึงการบรรลุมาตรฐานความงามในอุดมคติที่ดึงดูดใจคู่ครอง และระดับความพึงพอใจของคนรัก นอกจากนี้ผู้หญิงที่มองภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ดีจะคิดว่าคนรักมีแรงดึงดูดทางเพศกับเธอน้อยลง ซึ่งก็อาจมาจากความพึงพอใจในความสัมพันธ์ที่ต่ำ และความพึงพอใจทางเพศที่น้อย พูดง่ายๆ คือผู้หญิงหลายคนกลัวคนรักผิดหวังกับร่างกายตัวเอง ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าคนรักมีความคิดเห็นอย่างไรกับร่างกายของผู้หญิง เพราะในวันปกติ ผู้หญิงหลายคนอาจเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าพรางจุดที่ตัวเองไม่ชอบกันได้ แต่ขณะมีเซ็กซ์ เราไม่สามารถบดบังร่างกายของเราได้ทั้งหมด ซึ่งกลับกันเราคิดว่าหากคนรักให้ความเชื่อมั่นว่ารักทุกสัดส่วนของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม หรือคอยสนับสนุนให้เธอมั่นใจในตัวเอง อาจทำให้ความคิดเหล่านี้ของพวกเธอลดน้อยลง ถัดมา การศึกษาในปีนี้ (2565) จาก สมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (American Psychological Association) ที่สำรวจคู่รักต่างเพศจำนวน 141 คู่สมรส อายุ 20-70 ปี พบว่าสามีและภรรยาที่ไม่มีความพึงพอใจในรูปร่างหน้าตามักมีเพศสัมพันธ์กันน้อยลงไปด้วย ซึ่งภรรยาหลายคนรายงานว่า พวกเธอมีความพึงพอใจทางเพศน้อยลงเมื่อมีความพึงพอใจในรูปลักษณ์ของตัวเองน้อยลง กลับกัน หากสามีของพวกเธอมีความพึงพอใจในรูปลักษณ์ของภรรยาสูงขึ้น หรือได้รับความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์ในเชิงบวกจะทำให้มีความพึงพอใจในภาพลักษณ์ที่สูงขึ้นได้ด้วย แต่หากเป็นคอมเมนต์ลบๆ ต่อร่างกายผู้หญิง ก็จะส่งผลต่อความพึงพอใจทางเพศของภรรยาที่ลดลง ความน่ากลัวจากงานวิจัยที่ยกมาจะเห็นได้ว่าผู้ชายกลายเป็นคนคุมเกมความสัมพันธ์ หากเอ่ยปากครั้งหนึ่งว่าไม่ชอบร่างกายของผู้หญิง ก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้หญิงได้มาก และทำให้หลายคนต้องตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนรักพอใจ ทั้งๆ ที่ เราไม่จำเป็นต้องฝืนเปลี่ยนตัวเองไปเพื่อใครทั้งนั้น และความสวยของเราไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยันทั้งสิ้น ถ้าเขาไม่ได้รักเราที่เราเป็นเรา ก็น่าคิดต่อแล้วว่าความสัมพันธ์นี้มันเวิร์กจริงไหม? ยิ่งกับค่านิยมความงามบนสื่ออย่างหนังโป๊ ที่ผู้ชายหลายคนเสพ จนคาดหวังให้แฟนตัวเองมีจิ๋มรูปร่างหน้าตาแบบนางเอกหนัง ทำให้หลายคนยอมลงทุนศัลยกรรมตกแต่งจิ๋มตัวเองเพื่อมาเซอร์วิสแฟนหนุ่ม เช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Family and Reproductive Health สำรวจสตรี 50 คน ที่เข้าร่วมการศัลยกรรมตกแต่งจิ๋มที่คลินิกเชิงกรานของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เตหะราน พบว่าร้อยละ 58.7 เข้าร่วมการผ่าตัดเนื่องจากความไม่พอใจทางเพศของสามี ซึ่งหลังจากศัลยกรรมแล้ว ภาพลักษณ์ของผู้หญิง การทำงานทางเพศ และความพึงพอใจทางเพศของคู่รักดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จริงๆ หากศัลยกรรมเพื่อให้ตัวเองพึงพอใจ เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่สวยที่สุดนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง แต่หากศัลยกรรมเพราะแฟนคาดหวังให้เปลี่ยนตัวเองเป็นเหมือนดาราหนังโป๊ หรือกลายเป็นหญิงสาวในอุดมคติมากที่สุด โดยทำให้คุณรู้สึกแย่ หรือตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะเราไม่สวยใช่ไหม เขาถึงไม่มีอารมณ์ แบบนี้ ก็น่าคิดว่าแฟนของคุณมองคุณเป็นแบบไหน แล้วหากในอนาคต คุณไม่สวยตามอุดมคติที่เปลี่ยนไปของเขาอีกครั้ง คุณต้องทำศัลยกรรมเพิ่มอีกกี่รอบล่ะ? “เมื่อฉันมีน้ำหนักเกิน บ่อยครั้งฉันจะรู้สึกละอายที่จะพูดในสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันเคยถูกสอนมาว่าถ้าฉันไม่ผอม ฉันก็คอนโทรลอะไรไม่ได้ ฉันก็คงถูกเยาะเย้ยไป แล้วก็เป็นตัวตลก…ฉันเรียนรู้ที่จะดูถูกตัวเอง” แมเรียน คีย์ส (Marian Keyes) นักเขียนชาวไอริชพูดในพอดคาสต์ How To Fail With Elizabeth Day ว่านี่คือการเหยียดเพศบนโลกทุนนิยมที่ “สอนให้ผู้หญิงเกลียดตัวเอง” การโบยตีตัวเองทั้งหมดของผู้หญิงก็หล่อหลอมมาจากโซเชียลมีเดียที่ “เต็มไปด้วยภาพบุคคลในอุดมคติ การเปรียบเทียบตัวเองกับนางแบบฟิตเนส ดาราหนังโป๊ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ดูสวยเกินจริง ทั้งๆ ที่เราทุกคนต่างยูนีค และการเห็นคุณค่าในตัวเองเริ่มต้นได้ที่ตัวคุณเอง” ฮิวโก้ มินชิน (Hugo Minchin) นักบำบัดและผู้ร่วมก่อตั้ง Talk to the Rainbow เคยกล่าวไว้ สุดท้ายแล้ว การพูดคุยเปิดอกถึงทัศนคติของคนรักต่อร่างกายของคุณเอง อาจจะช่วยทำให้คุณตระหนักได้ว่าควรจะทำยังไงต่อกับความสัมพันธ์ เพราะหากคุณฝืนที่จะไล่ตามภาพในอุดมคติของคนรักไปเรื่อยๆ บางทีคุณอาจจะเหนื่อย และส่งผลต่อสุขภาพจิตเข้าสักวัน แต่หากคุณได้เจอคนที่เขารักและให้เกียรติทุกความเป็นคุณ ความสัมพันธ์ก็จะไม่เหนื่อย และการมองเห็นคุณค่าในตัวเองก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้ แต่หากวันนี้มีคนรักที่ชื่นชมและรักที่คุณสวยในแบบของคุณ แต่คุณก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองอยู่ดี ลิซ่า วิลเลียมส์ (Lisa Williams) และ แอนนิกิ ซอมเมอร์วิลล์ (Anniki Sommerville) นักเขียนเฟมินิสต์ที่เขียนแนะนำไว้ในหนังสือ More Orgasms Please: Why Female Pleasure Matters ว่า หากกำลังจะมีเซ็กซ์ครั้งหน้า ลองคิดแบบนี้ดูก็ได้ เช่น ถ้าคิดว่าก้นใหญ่เกินไปขณะกำลังมีเซ็กซ์ ให้เบนความคิดมาเป็น “ฉันชอบเมื่อฉันถูกจูบตามแนวกางเกง” หรือถ้าคิดขึ้นมาว่าต้องลดน้ำหนักแล้ว ก็ให้เปลี่ยนมาคิดว่า “ฉันชอบสะโพก และเอวของฉันเมื่อนอนตะแคง” หรือสมมติคุณมีรอยแผล จนเผลอกลัวว่าเขาจะมองว่าน่าเกลียด ก็ลองมองหน้าเขาแล้วคิดว่า “คนคนนี้อยู่บนเตียงกับฉัน เพราะเขารู้ว่าฉันเป็นใคร” คนที่รักเราที่เป็นเราจะไม่พูดตำหนิร่างกายของเรา และหากลองคิดบวกแล้วก็ยังไม่มีแนวโน้มจะรู้สึกดี เราว่าการจูงมือกันไปรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาวะทางเพศและความสัมพันธ์ อาจจะช่วยพัฒนาความสุขทางเพศ และมุมมองต่อรูปลักษณ์ของคุณให้ดีขึ้นก็ได้นะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับอคติเหล่านี้อยู่ สู้ๆ อ้างอิง: <a href="https://jfrh.tums.ac.ir/index.php/jfrh/article/view/1782" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://jfrh.tums.ac.ir/index.php/jfrh/article/view/1782</a> <a href="https://mashable.com/article/body-image-self-esteem-sex-life-tips" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://mashable.com/article/body-image-self-esteem-sex-life-tips</a> <a href="https://www.psychologytoday.com/us/blog/finding-new-home/202206/how-body-image-impacts-women-s-sexual-satisfaction" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/us/blog/finding-new-home/202206/how-body-image-impacts-women-s-sexual-satisfaction</a>&nbsp; <a href="https://psycnet.apa.org/record/2022-54667-001" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://psycnet.apa.org/record/2022-54667-001</a> &nbsp;

นอกจากชัยชนะของทรัมป์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เกิดปรากฏการณ์ ‘ครั้งแรก’ ในประวัติศาสตร์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ Sarah McBride สส. ทรานส์เจนเดอร์คนแรกในประวัติศาสตร์ของสภาคองเกรส จากพรรคเดโมแครต ที่สามารถเอาชนะ John Whalen III อดีตนายตำรวจประจำรัฐเดลาแวร์มาได้

Sarah McBride 
‘สส. ทรานส์เจนเดอร์’ คนแรกในสภาคองเกรส ผู้ผลักดันทั้งประเด็น LGBTQ และบริการสุขภาพ จนได้ใจประชาชนคนทำงานและชนะการเลือกตั้ง!

นี่คือการถามจริง ตอบจริง แบบไม่เตี๊ยม ไม่มีบท ของ Dose of society แอคเคานต์ที่เราบังเอิญเจอในอินสตาแกรมที่ออกไปยื่นไมค์สัมภาษณ์ผู้คนตามท้องถนนทั่วทุกมุมโลก ด้วยไอเดียที่ว่า Real People, Real Stories คุยกับคนจริง กับเรื่องจริงๆ ของพวกเขา

Dose of society คอมมิวนิตี้ที่พาไปฟังผู้คนทั่วโลกด้วยคำถามง่ายๆ แต่ทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

เมื่อพูดถึงความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงต่อผู้หญิง หลายคนอาจเห็นภาพการลงไม้ลงมือทำร้าย แต่อันที่จริง การใช้คำพูดทำร้ายอีกฝ่ายโดยเฉพาะในคู่รัก ก็นับเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งเช่นกัน 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Sex

งานวิจัยชี้ ยิ่งผู้หญิงไม่ชอบร่างกายตัวเอง ยิ่งทำให้ความสุขทางเพศลดลง

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS