มีมดลูก ไม่ได้แปลว่าต้องมีลูก!

PMDD กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน ที่กลับถูกเพิกเฉย เพราะยาจะทำให้ “มีลูกยาก”

แม้ว่าประเทศอังกฤษจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีระบบบริการสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดุลยพินิจและความเชื่อส่วนบุคคลของแพทย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้คนอีกมากมายในอังกฤษ โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่สามารถเข้าถึง ‘ทางเลือก’ ในการรักษาได้เพียงเพราะมายาคติเกี่ยวกับการมีลูกที่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนควรเป็นผู้ให้กำเนิดหนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่มีอาการ PMDD&nbsp;(Premenstrual Dysphoric Disorder) หรืออาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือนที่มักทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ จนถึงมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลร่วม ซึ่งผลวิจัยจาก BMC Psychiatry เปิดเผยว่ามากกว่า 34% ของคนที่มีอาการ PMDD จะมีความพยายามในการฆ่าตัวตายด้วยกลุ่มยาต้านเศร้า (Antidepressant) คือหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ผู้มีภาวะไม่พึงประสงค์ต่างๆ จากอาการ PMDD ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ เเต่เนื่องจากยาในกลุ่มนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างสูง ผู้หญิงในอังกฤษจำนวนไม่น้อยที่มีอาการ PMDD จึงถูกปฏิเสธในการได้รับยา ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจทำให้เสี่ยงต่อการ ‘มีลูกยาก’&nbsp;ลอร่า แทร์-โจนส์ (Laura Teare-Jones) เจ้าของรายการพอดคาสต์ชื่อ ‘My Hormones, My Health’ ก็เป็นคนหนึ่งที่ทรมานจากอาการ PMDD แต่กลับถูกระงับยาต้านเศร้าที่เคยได้รับอยู่เป็นประจำอย่างกระทันหัน โดยไม่ได้รับทางเลือกในการรักษาอื่นๆ ที่ดีกว่า เมื่อแพทย์ทราบว่าเธอมีความพยายามจะตั้งครรภ์ในอนาคต “หมอให้เหตุผลว่ามันอาจจะไปกระทบต่อเด็กได้ ซึ่งเด็กที่ว่าตอนนี้ยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดของฉันนี่แหละกำลังเกิดขึ้นจริงอยู่ตอนนี้ และยาต้านเศร้าก็คือสิ่งที่ช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”&nbsp;ประเด็นทางเลือกในการรักษายิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อคลิปวิดีโอของสาวรายหนึ่งนามว่า ทาร่า รูล (Tara Rule) ถูกเผยแพร่ใน Tiktok จนกลายเป็นไวรัล จากการที่เธอถูกปฏิเสธการได้รับยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เรื้อรัง (Cluster Headache) ที่เป็นอยู่ โดยแพทย์ที่ทำการรักษาอ้างว่า เพราะเธอกำลัง ‘อยู่ในวัยที่มีลูกได้’ ซึ่งยาที่ร้องขออาจมีผลเสียต่อการตั้งครรภ์ ขณะที่รูลยืนยันหนักแน่นว่าเธอไม่ได้กำลังวางแผนจะมีลูกหรือมีครอบครัวแต่อย่างใด ทำให้เธอเองไม่เข้าใจและเกิดความสงสัยว่า แท้จริงแล้วความเจ็บปวดในปัจจุบันที่เธอ ในฐานะคนไข้กำลังเผชิญอยู่ หรือ ‘ลูก’ ในอุดมคติของแพทย์ที่ยังไม่มีอยู่จริงนั้น สิ่งไหนดูจะเป็นเรื่องสำคัญและควรได้รับการพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรกกันแน่&nbsp;เช่นเดียวกับคำบอกเล่าของ โคลอี้ (Chole) และ จอร์เเดน (Jordan - นามสมมติ) ที่โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ของเธอก็อยู่ภายใต้ ‘ดุลยพินิจ’ ของแพทย์เกี่ยวกับ ‘การมีลูก’ ด้วยเช่นกัน เมื่อแพทย์เลือกใช้วิธีให้ยาคุมกำเนิดไปจนกว่าพวกเธอจะอายุครบ 30 ปี หรือมีความประสงค์จะมีลูก&nbsp;จริงอยู่ว่าการใช้ยาคุมกำเนิดเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ชะลอ และยับยั้งการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ได้ แต่การใช้ยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานานยังมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย สภาวะจิตใจ ไปจนถึงอารมณ์ ทำให้ทั้งโคลอี้และจอร์แดนต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล&nbsp;แต่เมื่อร้องขอทางเลือกอื่นๆ เช่น การผ่าตัด เพื่อยุติความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ เธอกลับได้รับการปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าวิธีนั้นอาจไปกระทบต่อความสามารถในการมีลูกของพวกเธอในอนาคตได้ “คุณยังเด็ก เดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนใจได้” คือประโยคที่แพทย์มักจะบอกอยู่เสมอ และมันทำให้พวกเธอรู้สึกเหมือนอยากจะจากโลกนี้ไปทุกครั้งที่ได้ยินไม่เพียงแค่ผู้หญิงที่มีอาการ PMDD และเยี่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เท่านั้นที่ได้รับการปฏิเสธทางเลือกในการรักษาด้วยเหตุผลของการเป็นวัยเจริญพันธ์ุ The Washington Post รายงานว่าผู้มีความบกพร่องทางร่างกายและผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวนไม่น้อย อย่างโรคลูปัส (Lupus) โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ก็ไม่สามารถเข้าถึงยาหลายชนิดที่มีความจำเป็นได้ เนื่องจากถูกมองว่ามีส่วนในการสนับสนุน ‘การทำแท้ง’ &nbsp;ซึ่งฟังดูย้อนแย้งกับการที่อังกฤษเป็นประเทศที่อนุญาตให้การทำแท้งถูกกฎหมาย แต่ทำไมผู้หญิงในอังกฤษกลับยังคงถูกคาดหวังในการให้กำเนิดอยู่และทำไมคุณภาพชีวิตของพวกเขาถึงมีความสำคัญน้อยขนาดนั้น“ก่อนอื่น คนต้องเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราไม่ได้มีไว้แค่ให้กำเนิดนะ” คือความเห็นของ เอมิลี่ ฮอลโลเวย์ (Emily Holloway) นักบำบัดและผู้ก่อตั้ง PMDD Collective หน่วยงานที่สร้างความตระหนักและช่วยเหลือผู้ป่วยภาวะ PMDD กล่าว “ระบบการรักษาที่ ‘ยึดติดกับความเชื่อและทัศนคติคร่ำครึ’ ควรได้รับการรื้อทิ้งเสียที”&nbsp;เช่นเดียวกับทาร่า รูล เจ้าของประเด็นร้อนใน TikTok ที่ตั้งแคมเปญผ่านเว็บไซต์ Change.org เรียกร้องให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องกับการรักษา ไปจนถึงบริษัทประกันหยุดเลือกปฏิบัติด้วยการอ้างสิทธิ์ของชีวิต (เด็ก) ที่ไม่มีอยู่จริง มากกว่าเลือกที่จะรักษาสิทธิ์ ให้คุณภาพชีวิตที่ดี และบรรเทาความเจ็บป่วยของคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆ&nbsp;ด้วยการให้ทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดแก่คนไข้เรื่องนี้ทำให้ต้องกลับมามองกันใหม่ว่า หรือแท้จริงแล้วการเรียกร้องให้การทำแท้งถูกกฎหมายในหลายประเทศ อาจไม่ใช่เพียงเพราะว่าคนกลุ่มหนึ่งต้องการแค่สิทธิ์ในการทำแท้งเท่านั้น&nbsp;แต่มันหมายถึงการเรียกร้องอำนาจให้ทุกคนสามารถมี ‘ทางเลือก’ ในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง เช่นเดียวกับการที่เราต่างมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าควรจะเป็นพ่อแม่คนหรือไม่ และเช่นเดียวกับที่ไม่ควรมีใครถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากร เพียงเพราะเขาต้องการมีทางเลือกในการบำบัดเยียวยาตัวเองให้มีชีวิตรอดด้วยเช่นกันอ้างอิง<a href="https://www.dazeddigital.com/beauty/article/57295/1/women-denied-healthcare-medication-childbearing-age-abortion" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dazeddigital.com/beauty/article/57295/1/women-denied-healthcare-medication-childbearing-age-abortion</a>&nbsp;

‘Lucky Girl’ คืออีกหนึ่งแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแพลตฟอร์ม TikTok ผ่านคลิปวิดีโอเล่าเรื่องราวความโชคดีต่างๆ จนทำให้ดูเหมือนเป็นคนโชคดีตลอดเวลา โดยแก่นหลักของแนวคิดคือ ถ้าคุณเชื่อว่าตัวเองโชคดี สิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นกับคุณ

Lucky Girl Syndrome การสะกดจิตตัวเองว่า “ฉันคือผู้โชคดี” ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ความเชื่อนี้ควรอยู่บนหลักความเป็นจริง

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตของผู้หญิงง่ายขึ้น” กลายเป็นวาทกรรมสอนหญิงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแพลตฟอร์ม TikTok โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มักระบุว่า หากผู้หญิงเพิ่ม Feminine Energy มากขึ้น จะทำให้พวกเธอสามารถดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา นำไปสู่การมีชีวิตที่สบายขึ้น รวมถึงหากนำไปปรับใช้กับด้านความสัมพันธ์ จะส่งผลให้ได้รับการปฏิบัติที่ดีแบบ Princess Treatment จากคนรัก

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตผู้หญิงง่ายขึ้น” วาทกรรมสอนหญิงจาก TikTok ที่ชวนให้คนกลับสู่กรอบบทบาททางเพศ เพื่อจะมีชีวิตที่ดี ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็สามารถมีชีวิตที่ดี และความรักที่คู่ควรได้

รายงานล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลฝรั่งเศสกำลังพิจารณาผ่านกฎหมายปฏิรูปการศึกษาเรื่อง Sex Education ซึ่งนับว่าเป็นการปฏิรูปที่เรียกว่าโหดหินที่สุดครั้งหนึ่งของฝรั่งเศส จากการใช้เวลาผลักดันมานานกว่า 25 ปี 

ฝรั่งเศสเตรียมปฏิรูป Sex Education
ให้สอนเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ ความเท่าเทียม และ consent แต่ยังไม่วายถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่อต้าน เพราะมองว่า “woke เกินไป”

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

PMDD กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน ที่กลับถูกเพิกเฉย เพราะยาจะทำให้ “มีลูกยาก”

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS