แม้ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาจะยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือนว่าหมูเด้งจะทายถูกแล้วแน่ๆ และโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะได้กลับมา “Make America Great Again!”แต่มันคือข้อยืนยันเรื่องการหันขวาของคนจำนวนมากที่ยื่นชัยชนะเข้ามือชายอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงคนนี้ และชัยชนะของเขาก็อาจส่งผลต่อสิทธิมนุษยชนในหลายๆ ประเด็นให้ถดถอยลง โอกาสนี้เราเลยอยากรวมรวบประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอเมริกา เมื่อทรัมป์กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง


 เมื่อชัยชนะครั้งที่ 2 ของ Donald Trump 
ผู้ “อยากทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” 
อาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับหลายคน

แม้ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาจะยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือนว่าหมูเด้งจะทายถูกแล้วแน่ๆ และโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะได้กลับมา “Make America Great Again!” อย่างที่เขาเคยประกาศเอาไว้ ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่การพลาดโอกาสที่จะเฉลิมฉลองให้กับประธานาธิบดีหญิงผิวดำคนแรกแน่ๆ แต่มันคือข้อยืนยันเรื่องการหันขวาของคนจำนวนมากที่ยื่นชัยชนะเข้ามือชายอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงคนนี้ และชัยชนะของเขาก็อาจส่งผลต่อสิทธิมนุษยชนในหลายๆ ประเด็นให้ถดถอยลง โอกาสนี้เราเลยอยากรวมรวบประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอเมริกา เมื่อทรัมป์กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง<img src="https://media.thairath.co.th/image/ryDHoNvCa7XYYfbXs8bJP44ngTP7XIJVxase4Ts1a2hUQcMe9vA1.jpg" data-id="101896" data-url="https://media.thairath.co.th/image/ryDHoNvCa7XYYfbXs8bJP44ngTP7XIJVxase4Ts1a2hUQcMe9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">1. การทำแท้ง &nbsp;นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับบางคน แต่ในชีวิตของผู้หญิงหลายต่อหลายคน นี่คือเรื่องใหญ่และเป็นสิทธิที่ถูกพรากไปอย่างน่าใจหาย โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยใช้อำนาจผลักดันคนฝั่งเขาให้เข้าไปนั่งในศาลสูง จนเกิดการคว่ำกฎหมาย Roe V. Wade ซึ่งเคยให้สิทธิผู้หญิงอเมริกันในการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย และกลายเป็นว่าในหลายรัฐอนุรักษ์นิยม คนที่ทำแท้งและคนที่สนับสนุนการยุติการตั้งครรภ์มีสิทธิถูกจับในฐานะอาชญากรรม ทรัมป์เคยทำสำเร็จมาแล้วแม้จะอยู่ในช่วงที่หลุดจากที่นั่งประธานาธิบดี และเห็นได้ชัดว่าการกลับมาครั้งนี้ เขาน่าจะเดินหน้าบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องการทำแท้งแน่ๆ อย่างที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะ “ปกป้องผู้หญิง” และ “ทำให้ผู้หญิงไม่อยากทำแท้ง” โดยไม่ว่าวิธีการจะเป็นเรื่องสวัสดิการสังคมหรือใช้กฎหมายที่รุนแรงขึ้น มันก็เท่ากับการมองข้ามเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายผู้หญิงไปโดยปริยาย เราอาจได้เห็นการแบนการทำแท้งในรัฐอื่นๆ ที่ยังคงอนุญาตอยู่ และไม่แน่ว่าในบางรัฐที่ห้ามอยู่แล้วอาจเกิดข้อห้ามและบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเดิม หรือกระทั่งการจำกัดสิทธิคนที่จะเดินทางไปทำแท้งในรัฐอื่นๆ ซึ่งจะกลายเป็นการเดินถอยหลังครั้งใหญ่ของประเทศ ‘โลกเสรี’ นี้อีกระลอก 2. สิทธิ LGBTQ แม้ทรัมป์จะเคยออกปากสนับสนุน LGBTQ+ ตามกระแสสังคมอยู่บ้างในปีก่อนๆ โน้น แต่ล่าสุดนี้ชัดเจนว่าเขากำลังพุ่งเป้าไปที่เหล่าทรานส์เจนเดอร์โดยเฉพาะที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ โดยเขาไม่ต้องการเห็นเด็กๆ ข้ามเพศด้วยประการทั้งปวง ด้วยความเชื่อที่ว่าเรื่องการข้ามเพศเป็นมายาคติที่พวก woke หรือฝั่งซ้ายพยายามยัดเยียดเข้าใส่เด็ก เขาโจมตีโรงเรียนที่สอนเรื่องสิทธิข้ามเพศ ตัดงบประมาณโรงพยาบาลที่ให้บริการผ่าตัดข้ามเพศ และห้ามบุคคลข้ามเพศเข้าทำงานในกองทัพ ไม่เพียงเท่านั้น ที่ผ่านมาทรัมป์ยังพยายามผลักดันกฎหมายที่กีดกันสิทธิของคนข้ามเพศ ทั้งยังต้องการล้มเลิกนโยบายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQ+ ซึ่งใน Project 2025 ของทีมทรัมป์ มีส่วนที่ระบุว่า “ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก พนักงานด้านสาธารณสุข และเจ้าของกิจการต่างๆ ควรมีสิทธิในการปฏิเสธ LGBTQ+ และโบถส์ที่รับจัดงานแต่งงานก็ควรมีสิทธิที่จะปฏิเสธคู่รักที่ไม่ได้ ‘เป็นไปตามไบเบิล’” และนี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนเดียวของ Project 2025 นี้เท่านั้น 3. สิทธิผู้อพยพ ชัดเจนตั้งแต่การนั่งทำเนียบขาวเมื่อครั้งก่อน ว่าทรัมป์ไม่เอาผู้อพยพ และนี่เองอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งใจเลือกเขาขึ้นเป็นผู้นำ โดยทรัมป์เคยประกาศว่าจะผลักดัน “การเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งในแผนการ Project 2025 และอาจส่งผลต่อคนต่างเชื้อชาติในอเมริกาถึง “20 ล้านคน” โดยเฉพาะคนเชื้อสายเม็กซิกันและคนจากประเทศมุสลิม แผนการนี้ยังเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังทหารที่เข้มข้นกว่าเดิมทั้งในค่ายผู้อพยพและบริเวณชายแดน ซึ่งอาจเป็นการกลับไปฟื้นฟูอำนาจทางการทหารให้แข็งแกร่งเหมือนยุคสงครามในศตวรรษที่ 18 เลยทีเดียว 4. เสรีภาพสื่อ ในช่วงที่ผ่านมา ทรัมป์เกรี้ยวกราดใส่สื่ออยู่บ่อยครั้ง เขาโจมตีสื่อใหญ่ๆ หลายเจ้าว่าเล่นข่าวปลอม ล่าสุดนี้เขาก็เพิ่งสั่งยึดใบอนุญาตของสำนักข่าว CBS News โทษฐานที่เผยแพร่วิดิโอสัมภาษณ์เขากับกมลา แฮร์ริส ซึ่งผ่านการตัดต่อมาและเขาอ้างว่าเป็นการตัดต่อที่จงใจทำให้เขาดูไม่ดี ไม่เพียงเท่านั้นทรัมป์ตั้งใจจะผลักดันกฎหมายในการ ‘ฟ้องสื่อ’ อย่างเป็นรูปธรรม โดยในมุมมองของทรัมป์ สื่อ (ที่ไม่สนับสนุนเขา) นับเป็น “ศัตรูของมวลชน” และดูเหมือนว่าสื่อในอเมริกาหลายต่อหลายเจ้าก็น่าจะต้องเตรียมตัวรับแรงกระแทกกันในเร็วๆ นี้แน่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลกระทบต่อคนส่วนหนึ่งที่จะเกิดขึ้นหลังทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีครั้งที่ 2 และอันที่จริงยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าจับตา ไม่ว่าจะเป็นนโยบายระหว่างประเทศ ปัญหาที่ฉนวนกาซ่า สงครามในหลายพื้นที่ นโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม นโยบายเรื่องเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่อาจดูเหมือนไกลตัว แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น และเราก็น่าจะค่อยๆ ได้เห็นกันในอีก 4 ปีนับจากนี้ อ้างอิง<a href="https://www.theatlantic.com/if-trump-wins/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theatlantic.com/if-trump-wins/&nbsp;</a><a href="https://www.theguardian.com/us-news/ng-interactive/2024/nov/03/if-trump-wins-the-election-these-11-issues-will-be-under-threat" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theguardian.com/us-news/ng-interactive/2024/nov/03/if-trump-wins-the-election-these-11-issues-will-be-under-threat&nbsp;</a><a href="https://www.vox.com/2024-elections/382679/trump-foreign-policy-america-first-tariffs-nato-alliance" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vox.com/2024-elections/382679/trump-foreign-policy-america-first-tariffs-nato-alliance</a>

ดูเหมือนว่าข้อมูลส่วนตัวของเยาวชนและการปกป้องเยาวชน จะกลายมาเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่แต่ละประเทศกำลังพิจารณาออกกฎหมายเพื่อจำกัดการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างล่าสุดนี้ ออสเตรเลีย ก็ได้ผ่านกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเล่นโซเชียลมีเดียซึ่งไม่ใช่แค่ TikTok เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง Facebook, Snapchat, Reddit, X และ Instagram อีกด้วย

คำถามสำคัญของหลายชาติในวันนี้
อายุกี่ปี ถึงควรจะเล่นโซเชียลมีเดียได้?
หลังออสเตรเลียผ่านกฏหมายห้ามเด็ก
ต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดีย

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังจะพาประเทศกลับสู่ความเป็นอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะเรื่อง ‘สิทธิคนข้ามเพศ’ ซึ่งอนาคตก็อาจขยับไปต่อต้านสิทธิ LGBTQ+ หลายๆ สิทธิ์อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น

ยุคทองอเมริกา (?) ที่กีดกันคนข้ามเพศเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ จำกัดไม่ให้เด็กทรานส์ค้นหาตัวเอง แทรกแซงบริการสุขภาพเพศของทรานส์ และประกาศให้นับจากนี้ อเมริกามีแค่ “ชายกับหญิง”

เราอยู่ในยุคซึ่งผู้คนเปิดกว้างกับเรื่องเซ็กซ์และสิทธิในร่างกายผู้คนมากขึ้นแล้ว แต่เรื่องราวของ Lily Philips พาบทสนทนาให้ไปไกลขึ้นอีกขั้น เมื่อคนส่วนหนึ่งมองว่านั่นคือร่างกายของเธอและเป็นสิทธิของเธอ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นห่วงร่างกายและจิตใจของเธอมากกว่า

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Change

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS