เอสเธอร์ เพอเรล (Esther Perel) นักจิตบำบัดชาวเบลเยียม-อเมริกัน ชวนตั้งคำถามว่า "ถ้าโลกนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความโปรดปรานให้แก่ผู้ชาย แล้วทำไมผู้ชายจำนวนมากจึงต้องทนทุกข์ถึงขนาดนี้กันล่ะ"

Esther Perel นักจิตบำบัดผู้ทลายกรงความเป็นชายอันเปราะบาง หรือ Fragile Masculinity

"หนึ่งในสิ่งที่ติดอยู่ในหัวฉันตลอดมาคือวลีอันน่ามหัศจรรย์อย่าง 'ทำตัวให้สมชายหน่อยสิ' (Be a Man), 'เป็นลูกผู้ชายหน่อย' (Man Up) เวลาเราพูดเรื่องความเป็นชาย เราพูดถึงมันในฐานะข้อบังคับ ในฐานะหน้าที่ ในฐานะการแสดงออก ในฐานะสิ่งที่ต้องพิสูจน์ มันแปลว่าความเป็นชายนั้นดูได้มายากลำบาก และสูญเสียไปง่ายดายเหลือเกิน"วิดีโอสั้นๆ ความยาวเพียงสามนาทีครึ่งที่ เอสเธอร์ เพอเรล (Esther Perel) โพสต์ลงในช่องยูทูบของตัวเองเมื่อกลางปีที่แล้ว มีคนกดเข้าไปฟังนับแสนครั้ง ด้านหนึ่ง นี่ย่อมสะท้อนภาวะความสนใจใคร่รู้หรืออัดอั้นบางอย่างของผู้คนเพอเรลคือนักจิตบำบัด (psychotherapist) ชาวเบลเยียม-อเมริกัน เธอเป็นที่รู้จักในวงกว้างหลังตีพิมพ์หนังสือ Mating in Captivity (2006) ว่าด้วยความลักลั่นย้อนแย้งของความปรารถนาในความสัมพันธ์ เธอชวนตั้งคำถามถึงความเชื่อทางความสัมพันธ์ เช่น คู่รักที่ดีต้องไม่ทะเลาะกัน, เคล็ดลับของการมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวคือหลีกเลี่ยงการโต้เถียงปะทะ ฯลฯ ที่แท้จริงแล้วอาจเป็นมายาคติเกี่ยวกับชีวิตที่ไม่นำไปสู่อะไร&nbsp;พร้อมกันนี้ เพอเรลยังสนใจประเด็นเรื่องความเป็นชายและความเป็นหญิงด้วย บทความของเธอมักตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทที่สังคมมอบให้ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่บ่อยครั้ง&nbsp;"สิ่งที่เป็นปัญหารบกวนสุขภาพจิตของผู้ชายคือเรื่องที่ว่าพวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายไม่พอ ว่าพวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะผู้ชาย ไม่เอาเป็นเอาตาย ไม่อดทน ไม่บ้าบิ่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งในการประกอบสร้างความเป็นชาย ซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคม บางสังคมอาจรุนแรงกว่านี้ก็ได้ แต่โดยพื้นฐานแล้วก็มีลักษณะเดียวกัน ดังนั้นการประกอบสร้างความเป็นชายมันจึงเต็มไปด้วยกระบวนการอย่างมีระบบ เป็นมากกว่าบุคลิกหรือแค่เรื่องของจิตวิทยา ฉันจึงอยากตระหนักถึงประเด็นนี้ไว้เสมอเวลาเราพูดถึงสุขภาพจิตของผู้ชาย พวกเขาผ่านประสบการณ์การแบกรับความกดดันมามากมาย พวกเขามีเสี้ยนหนามในใจที่คอยทิ่มแทงให้ต้องพิสูจน์ตัวตนอยู่ร่ำไป สำแดงความแข็งแกร่งอยู่ซ้ำๆ เพื่อสร้างตัวตนความเป็นชาย ซึ่งความกดดันเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายังพูดถึงกันไม่มากพอนะ"และในวาระที่วันที่ 10 กันยายนนี้ คือวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicidal Prevention Day) ประเด็นนี้เกี่ยวโยงกับสิ่งที่เพอเรลกล่าวถึงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากสมาคมนานาชาติ เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย (International Association for Suicide Prevention) ระบุว่า จะมีผู้เสียชีวิตราว 703,000 คนในแต่ละปี และเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า ขณะที่สถิติจากมูลนิธิการป้องกันการฆ่าตัวตายอเมริกัน (the American Foundation for Suicide Prevention) ระบุว่าในสหรัฐฯ อัตราการฆ่าตัวตายที่สูงที่สุดคือกลุ่มชายผิวขาว และคิดเป็นอัตรา 69.68 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั้งหมดในปี 2021&nbsp;เพอเรลชวนตั้งคำถามว่า "ถ้าโลกนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความโปรดปรานให้แก่ผู้ชาย แล้วทำไมผู้ชายจำนวนมากจึงต้องทนทุกข์ถึงขนาดนี้กันล่ะ""เท่าที่ฉันเห็น ผู้ชายที่พยายามยึดครองอัตลักษณ์ความเป็นชายของตัวเองไว้หนาแน่นนั้น พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกอับอายเมื่อพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือที่ต้องการ และได้รับการสนับสนุนที่ต้องการจากความสัมพันธ์ที่มี และส่งผลต่อผู้หญิงด้วย ผู้ชายที่ไม่มั่นใจในความเป็นชายของตัวเองมักดูถูกผู้หญิง บางคราวอาจแย่กว่านั้นด้วยซ้ำ""ฉันเชื่อว่าชีวิตของผู้หญิงไม่อาจดีขึ้นได้ ไม่อาจงอกงามได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้ชายจะปลดปล่อยตัวเองออกจากข้อจำกัดที่บีบให้พวกเขาต้องสำแดงความเป็นชายเช่นนี้ ดังเช่นที่ เทอร์รี เรียล (นักเขียน) เพื่อนร่วมงานของฉันบอกนั่นแหละว่า ปิตาธิปไตยทำร้ายเราทุกคน"เพอเรลยังพยายามชี้ให้เห็นถึงระบบโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเจ็บปวดจากภาวะปิตาธิปไตย การเคลื่อนไหว #MeToo ที่ระเบิดตัวขึ้นในอเมริกาเมื่อปลายปี 2017 ที่แม้จะทำให้ด้านหนึ่งคนกล้าออกมาเปิดเผยประสบการณ์การถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น แต่กระนั้นมันก็อาจละเลยที่ทำให้เราพินิจเห็นมุมมองแง่อื่นๆ "เราคิดกันไปว่าความยุติธรรรมคือการลงโทษคนเลวไม่กี่คน แต่เราในฐานะสังคมโดยรวม ก็เมินเฉยต่อโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อให้เกิดวัฒนธรรมการล่วงละเมิดทางเพศได้ การไปจับจ้องอยู่แค่ที่คนอย่าง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (อดีตโปรดิวเซอร์ใหญ่ในฮอลลีวูดที่ถูกนักแสดงหลายสิบชีวิตฟ้องร้องว่าเคยถูกเขาล่วงละเมิดทางเพศ) หรือผู้ชายที่เป็นคนทำร้ายคนอื่นๆ มันก็แค่เป็นการสร้างกลุ่มคนทำผิดที่ทำให้เรารู้สึกกล่าวโทษว่าเป็นต้นตอของปัญหาได้""ตอนนี้ ฉันคิดว่ามันจำเป็นยิ่งกว่าเวลาไหนๆ อีกที่เราจะต้องมองไปยังรากของปัญหาจริงๆ เสียที ทั้งในแง่บริบทแวดล้อมและคนทำผิดในฐานะปัจเจก เราต้องสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองอย่างนี้"และในช่วงเวลาเช่นนี้นี่เอง ที่เพอเรลเห็นว่า การขยับขยายความรู้ความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ก็อาจทำให้ผู้ชายได้ทบทวนและพาตัวเองออกจากกรอบกรงที่กักขังพวกเขาไว้ในนามของความเป็นชายมาอย่างยาวนาน "เราใช้เวลากว่า 50 ปีในการถกเถียง นิยามกันว่าความเป็นผู้หญิงนั้นคืออะไร ผู้หญิงจึงตรวจตราความสัมพันธ์ อัตลักษณ์ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเอง (sense of agency) ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน และตอนนี้อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ที่เราก็มีช่วงเวลาที่ผู้ชายจะได้มีโอกาสนิยามตัวตนของพวกเขาเสียใหม่ในที่สุด" เธอว่าอ้างอิง<a href="https://www.glamour.com/story/esther-perel-how-to-fix-masculinity-empower-women" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.glamour.com/story/esther-perel-how-to-fix-masculinity-empower-women</a>&nbsp;<a href="https://www.youtube.com/watch?v=m2M0schmFsQ" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=m2M0schmFsQ</a>&nbsp;<a href="https://www.psychotherapynetworker.org/post/esther-perel-paradox-masculinity" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychotherapynetworker.org/post/esther-perel-paradox-masculinity</a>&nbsp;<a href="https://www.bbc.com/future/article/20190313-why-more-men-kill-themselves-than-women" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bbc.com/future/article/20190313-why-more-men-kill-themselves-than-women</a>&nbsp;<a href="https://afsp.org/suicide-statistics/" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://afsp.org/suicide-statistics/</a>&nbsp;

หนึ่งในคนที่ขับเคลื่อนประเด็นออทิสซึมมานานนับทศวรรษคือ แจ็กเคอลีน จาบลอนสกี (Jacquelyn Jablonski) ที่หลายคนอาจคุ้นเคยในฐานะนางแบบชั้นนำของแบรนด์แฟชั่นหลายสำนัก แต่นอกจากงานแฟชั่น เธอแน่วแน่กับการสื่อสารประเด็นออทิสติก

Jacquelyn Jablonski นางแบบสาวที่ตั้งใจสื่อสารประเด็น ‘ออทิสติก’ จากการเติบโตมากับน้องชายออทิสติกแต่กำเนิด

กำลังเป็นที่ฮือฮาในประเทศจีนอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อภาพการออกแบบสถานีรถไฟหนานจิงเหนือ (North Nanjing) ในเมืองหนานจิง ประเทศจีน ในรูปแบบม็อกอัป ถูกเผยแพร่ออกมาให้ชมกัน ที่ทำเอาคนจีนพูดเป็นเสียงเดียวกันบน Weibo ว่า นี่มัน ‘ผ้าอนามัยยักษ์’ ชัดๆ!

สถานีรถไฟหนานจิงถูกวิจารณ์บนโซเชียลฯ ว่าดีไซน์เหมือนผ้าอนามัยยักษ์ และน่าอับอาย ขณะที่คนบางส่วนออกมาแสดงจุดยืนว่า น่าอายตรงไหน เมนส์คือเรื่องปกติ

คนนี้ ‘เหมาะจะเป็นเมีย’ คนนี้ ‘น่ารัก’ คนนี้ ‘พอได้’ คนนี้เป็น ‘วัตถุ’ คนนี้ ‘ไปให้พ้น’ และคนนี้ ‘ไม่เหมาะจะข่มขืน’ ฯลฯ โรงเรียนในเมลเบิร์นตัดสินใจลงโทษขั้นเด็ดขาด ไล่ออก นักเรียนชายผู้ทำตารางจัดอันดับเพื่อนหญิงร่วมชั้น ด้วยมุมมองเหยียดเพศ 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Change

Esther Perel นักจิตบำบัดผู้ทลายกรงความเป็นชายอันเปราะบาง หรือ Fragile Masculinity

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS