อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี ทำงานในแวดวงแฟชั่นมาหลากหลายด้าน และล่าสุดนี้ ได้มีเข้าไปเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนสาขาแฟชั่น ซึ่งสิ่งที่เธออยากผลักดันที่สุด ณ เวลานี้คือ Slow Fashion ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ Fast Fashion

Mirror 50 : กมลนาถ องค์วรรณดี ผู้ยืนหยัดสนับสนุน Slow Fashion เพื่อความยั่งยืนตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ

อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี ทำงานในแวดวงแฟชั่นมาหลากหลายด้านทั้งในฐานะนักออกแบบ บล็อกเกอร์ที่สนใจเรื่องเสื้อผ้าในแง่ของงานคราฟต์ เจ้าของบล็อกยุคบุกเบิกอย่าง Vanillawalk และการทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่าย Fashion Revolution ประเทศไทย ที่ได้สร้างมูฟเมนต์ให้คนตระหนักถึงปัญหาของ Fast Fashion ผ่านกิจกรรมมากมายภายใต้ ‘Fashion Revolution Week’ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี โดยมีแคมเปญอย่าง Clothes Swap หรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ามือ 2 เพื่อเป็นการลดขยะจากการบริโภคแฟชั่นที่มากเกินไป รวมถึงแคมเปญการติดเเฮชเเท็ก #WhoMadeMyClothes ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้แบรนด์แฟชั่นหันมาดูแลโลกและใส่ใจทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นกว่าเดิมด้วยการผลิตสินค้าอย่างโปร่งใส ฯลฯเรียกได้ว่าเธอคือคนที่ทำงานด้านนี้อย่างมาเข้มข้นและยาวนาน จนล่าสุดนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนสาขาแฟชั่น ซึ่งสิ่งที่เธออยากผลักดันที่สุด ณ เวลานี้คือ Slow Fashion ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ Fast Fashion ด้วยการหันมาสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่น ให้คุณค่ากับกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้าน รวมถึงการสนับสนุนการใช้เสื้อผ้ามือสองที่จะช่วยลดวงจรการทำลายโลก&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPtLC2kbte3SF3x2Yiy6VijQe9vA1.png" data-id="101341" data-url="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPtLC2kbte3SF3x2Yiy6VijQe9vA1.png" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">Q: อะไรที่คนอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำA: เครือข่าย Fashion Revolution เราขับเคลื่อนเรื่องของการผลิตแล้วก็บริโภคเพื่อยั่งยืนค่ะ แล้วก็ล่าสุด เราเองมีโอกาสเข้าไปเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนสาขาแฟชั่นค่ะ ซึ่งตรงนี้ เราก็อยากขับเคลื่อนสาขาแฟชั่นของประเทศไทยโดยชูเรื่องของ creative, high value แล้วก็ high quality fashion รวมถึงเรื่องของ slow fashion ค่ะ&nbsp;Q: อยากให้อธิบายเรื่อง slow fashion สักหน่อยค่ะA: จริงๆ คนอาจจะเข้าใจว่า slow fashion คือแบบเสื้อหม้อฮ่อมหรือว่าเป็นงานที่ใส่ในเมืองไม่ได้ แต่ว่าจริงๆ เรากำลังพูดถึงเรื่อง value ก็คือคุณค่าที่เราให้กับของชิ้นหนึ่งแล้วก็ attach กับตัวผลิตภัณฑ์ค่ะ สำหรับอุ้ง เรามองว่าแฟชั่นมันไม่ใช่แค่ตัวโปรดักต์ที่ออกมาตอนจบ แต่มันคือความสัมพันธ์ คือกระบวนการเนอะ process ทั้งหมด ที่มันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ การลงมือทำ ตั้งแต่เริ่มจนถึงจบอะค่ะ มันเป็นเหมือนเป็น collaboration ตลอดทั้ง value chain เลย กว่าจะมาเป็นเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ตรงเนี้ยค่ะเราอยากไฮไลต์ให้คนกลับมาเห็นคุณค่าว่า กว่าจะมาเป็นเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง มันผ่านอะไรมาบ้าง แล้วก็เราควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิต แล้วก็คุณภาพชีวิตของคนที่ทำเสื้อผ้าให้เราใส่ในโลกนี้ค่ะQ: คิดว่าอะไรที่คนยังไม่รู้เกี่ยวกับ slow fashion อีกบ้าง ในขณะที่คนอาจจะคุ้นเคยกับ fast fashion มากกว่าA: จริงๆ slow fashion ก็มีหลายมิติเนอะ คือสิ่งที่เราพูดถึงหลักๆ อะค่ะ ง่ายที่สุดก็คือการสนับสนุน local brand เพราะว่าจริงๆ แค่ซัพพอร์ตงานจากท้องถิ่นหรือซื้อสินค้าที่เป็น locally made มันก็ช่วยลด carbon footprint หรือว่าช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไปได้เยอะมากแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อแบรนด์แพงๆ ที่เป็น sustainable จากต่างประเทศ แต่เราหันมาสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศไทย นักออกแบบไทย ดีไซน์เนอร์ไทย กลุ่มที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์นำ แล้วก็หาความร่วมมือกับผู้ประกอบการในประเทศหรือว่าเป็นงานคราฟต์ท้องถิ่น เพราะเรามองว่า value ของดีไซน์หรือ value &nbsp;ของคราฟต์มันจะเป็นอนาคตของวงการแฟชั่น ทั่วโลกตอนนี้ก็เริ่มให้ความสำคัญกับด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น luxury group ค่ายใหญ่ๆ ก็กำลังตามหา sourcing material หรือว่าผู้ผลิตที่เป็นธรรมแล้วก็ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ<img src="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPvPkH8hwOrbsd0vyosNbC3Ue9vA1.png" data-id="101341" data-url="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPvPkH8hwOrbsd0vyosNbC3Ue9vA1.png" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">Q: อย่างเสื้อที่คุณใส่มาวันนี้ มัน represent ความเป็น slow fashion อย่างไรบ้างA: อันนี้คือ represent เลย มันเป็นของแบรนด์ “ภูคราม” คือเป็นแบรนด์ที่ทำงานกับชุมชนหมู่บ้านในเทือกเขาภูพานที่สกลนครค่ะ โดยที่เขาไม่ได้ treat ช่างเป็นแรงงาน แต่ว่าช่างทุกคนคือศิลปินที่มีฝีมือ มีจิตวิญญาณ มีชีวิตจิตใจของตัวเองค่ะ แล้วก็ฝีเข็มที่เขาใส่ลงมาในผืนผ้าของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน&nbsp;อย่างตัวนี้ที่ใส่อยู่ คนทำชื่อแม่บิดาค่ะ แม่บิดาเป็นคนที่เก็บเศษผ้าของแบรนด์ที่เป็นเศษที่เหลือต่างๆ จากการตัดเสื้อ เอามาปักดอกไม้เล็กๆ ลงไปในเศษผ้าแต่ละชิ้นแล้วก็ค่อยเอามาประกอบปักลงบนเสื้อตัว ก็จะเป็น one-of-a-kind piece ที่จริงๆ แล้วอุ้งมองว่าเป็นงานศิลปะนะคะ สิ่งที่ชอบที่สุดของแบรนด์ภูครามก็คือว่าเขาเป็นแบรนด์ที่ปั้นให้ช่างกลายเป็นศิลปินQ: การที่คนมองเห็นความสำคัญของ slow fashion สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงยังไงได้บ้างA: พูดจาก case study นี้ก่อนเลยแล้วกัน อย่างแรกสุดเลยคือทำให้คนหันมาสนใจมากขึ้นว่าเราจะทำงานหาเงินอยู่ที่บ้านยังไงได้โดยไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองใหญ่ พึ่งตนเองได้มากขึ้น แล้วก็อย่างที่บอกเมื่อกี้เนอะ คนที่ทำงานคราฟต์ได้มันกลับมาที่ความเป็นมนุษย์พื้นฐานน่ะค่ะ คือเรื่องของจิตใจ ความใจเย็น การจะนั่งคราฟต์อะไรบางอย่างออกมามันต้องใช้ความเป็นตัวตน มันทำให้เราต้องใส่ใจกับสิ่งต่างๆ สิ่งเล็กๆ มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ในมิติของสิ่งแวดล้อม ชุมชนก็ได้สังเกตมากขึ้นว่าระบบนิเวศในชุมชนมีอะไรอยู่บ้าง มีวัสดุอะไรที่หยิบมาใช้ได้ มีอะไร มีสปีชีส์ไหนที่หยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานได้ในมิติของสังคมอะค่ะก็คือเรื่องของการสร้างงาน สร้างรายได้ แล้วก็ทำให้คนเห็นว่าจริงๆ ตัวเองมีศักยภาพในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ นะคะ ตรงนี้ก็รุ่นลูกรุ่นหลานในชุมชนหรือกระทั่งสามีของพี่ๆ ช่างปักเอง เขาก็เริ่มหันมาเห็นคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะแล้วก็มีมิติเรื่องเพศ เป็นอันที่สำคัญที่สุดแล้วก็ประทับใจที่สุดเลย คือว่าก่อนหน้านี้ค่ะ มีช่างหลายคนเนอะที่อาจจะยังต้องพึ่งพาสามีทางเศรษฐกิจแต่พอเริ่มทำงานคราฟต์เริ่มขายเป็นแฟชั่นที่ราคาสูงได้อะค่ะก็สามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ก็ทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน เกิดความเข้มแข็งของผู้หญิงอะค่ะ คือเป็น women empowerment ระดับชุมชนจริงๆ&nbsp;แล้วก็มุมสุดท้ายก็เป็นมุมด้าน cultural ค่ะ คือวัฒนธรรม สำหรับอุ้งมองว่าวัฒนธรรมไม่ได้เป็นสิ่งแช่แข็งที่เราจะต้องไปยึดกับรากหรือที่มาที่เป็นภาพจำเดิมๆ แล้วก็คำว่าวัฒนธรรมไม่ได้มีเฉพาะ visual อะค่ะว่าเราจะต้องหยิบรายนั้นรายนี้มาทำ แต่จริงๆ มันเป็น spirit เป็น essence เป็นจิตวิญญาณของคนในพื้นที่ เป็นวิถีบางอย่างที่มันเรียบง่าย มัน simple หรือว่ามันมีความเข้มแข็งในตัวเอง อย่างเช่น<img src="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPt7Ap1V2Zp1V2nm5Jq809ye0Cfwkke9vA1.png" data-id="101341" data-url="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPt7Ap1V2Zp1V2nm5Jq809ye0Cfwkke9vA1.png" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">Q: ด้วยความที่เป็นงานคราฟต์ ราคาบางชิ้นอาจจะค่อนข้างสูง สำหรับคนที่ไม่ได้มีรายได้สูงมากจะสนับสนุน slow fashion ได้อย่างไรบ้างA: ก็สำหรับคนที่รายได้ไม่เยอะมากนะคะ จริงๆ แล้ว slow fashion ที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องซื้อใหม่ค่ะ แล้วก็ทุกวันนี้อะค่ะมีทางเลือกเยอะมากเนอะ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์การแลกของกันของ gen z การซื้อของมือสอง ซึ่งจริงๆ ของมือสองอาจจะสวยแล้วก็คุณภาพดีกว่าของมือหนึ่งเดี๋ยวนี้อีก ใช่ไหมคะ เรื่องของคุณภาพ แล้วก็อีกอันนึงก็คือจะเป็นเรื่องของการใช้ของให้นานค่ะ คือไม่สำคัญว่าคุณจะซื้อแบรนด์อะไร คุณจะซื้อแบรนด์จาก fast fashion ก็ได้ แต่ว่าอยากให้เรามองว่า mindset ของการใช้อะค่ะ มันคือการยืดอายุ ถนอม ดูแล แล้วก็ใช้ของชิ้นนึงไปให้นานๆ ตรงนี้มันก็จะสะท้อนกลับมาที่ตัวเองด้วยเนอะ ว่าคุณค่าของเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนตามเทรนด์ ตามภาพของสังคมที่มองเข้ามาตลอดเวลา แต่ถ้าเราเริ่มรู้จักตัวเอง อยากแสดงความเป็นตัวเองอะค่ะ จริงๆ อุ้งมองว่ามันเป็นเรื่องของสไตล์มากกว่า คือถ้าเราหาเจอเนอะว่าสไตล์เราเป็นแบบไหน ภาพจำเราเป็นใคร เราไม่จำเป็นต้องไปหยิบของแพงๆ มาใส่ก็ได้ เราสามารถสร้างสรรค์สไตล์ส่วนบุคคลที่จะ express ออกไป แล้วก็มองว่าจริงๆ เรื่องของสไตล์มันยั่งยืนกว่าแฟชั่นมากๆ ค่ะ<img src="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPihkInw0ku2wed18OpK0xpQe9vA1.png" data-id="101341" data-url="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPihkInw0ku2wed18OpK0xpQe9vA1.png" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib"><img src="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPuzF3Rs1a2h5SPkPXy8IS3erLdge9vA1.png" data-id="101341" data-url="https://media.thairath.co.th/image/YNPPs1a2hir2kMkxXv49QhxXPuzF3Rs1a2h5SPkPXy8IS3erLdge9vA1.png" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">

แคมเปญ MIRROR50 การเฉลิมฉลองให้กับ 50 รายชื่อบุคคลและองค์กรแห่งปีที่ก้าวข้ามความกลัวให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนในด้านต่างๆ แก่สังคม ด้วยความเชื่อมั่นที่จะ ‘เป็น’ ตัวเอง

เหตุเพราะดราม่า La Glace จึงสตรองขึ้นกว่าเดิม I เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์

'คุณลินดา เชง' คือกรรมการผู้จัดการ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก (River City Bangkok) ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงอันยากลำบากของอาร์ตเซ็นเตอร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ และกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งสำหรับคนที่หลงรักงานศิลปะ และใครก็ตามที่อยากแวะมาพัก ‘หายใจ’ ที่นี่

MIRROR50 : คุณลินดา เชง กรรมการผู้จัดการ ผู้ฟื้นลมหายใจให้ River City Bangkok ด้วยความตั้งใจที่อยากสร้างแรงกระเพื่อมทางจิตใจผ่านงานศิลปะที่คนไทยไม่เคยพบเจอ

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เร็วเสียจนเราแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักหายใจ คิดทบทวนกับตัวเอง พร้อมกับความกังวลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะมัวแต่พะวงกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้มีความสุขไปอย่างน่าเสียดาย

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Rising Star

Mirror 50 : กมลนาถ องค์วรรณดี ผู้ยืนหยัดสนับสนุน Slow Fashion เพื่อความยั่งยืนตั้งแต่ต้นจนถึงปลายน้ำ

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS