MIRROR50 : พีท ประณิธาน ผู้ก่อตั้งเทศกาล Wonderfruit ครบรอบ 10 ปี ของดนตรีและศิลปะนานาชาติ ที่ยังอยากพาผู้คนออกไปสัมผัสกับประสบการณ์สร้างสรรค์ใหม่ๆ ในแบบยั่งยืนต่อตัวเองและสิ่งแวดล้อม

พีท-ประณิธาน พรประภา : ‘MY VOICE IS FOR CREATING CULTURAL EXPRESSION THAT IS MEANINGFUL AND SPREADING IT WIDELY’เดินทางมาถึงปีที่ 10 ของ Wonderfruit เทศกาลดนตรีและศิลปะประจำปีระดับนานาชาติที่รวมตัวนักเดินทางหลายหมื่นคนที่รักในเสียงดนตรีและต้องการรับพลังงานสดใหม่จากเสียงเพลงและกิจกรรมมากมายตลอด 5 วัน เพื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ด้วยจิตใจที่พร้อมเปิดรับสิ่งดีๆ ที่กำลังเข้ามาโดยเทศกาลนี้มี พีท-ประณิธาน พรประภา เป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งเขาได้วางแนวทิศทางให้เทศกาลนี้ว่าจะเป็นงานที่พาเราออกไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษที่เขาและทีมงานได้คัดสรรมาเรียงร้อยเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้ธีมที่ผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละปี แต่ยังคงไว้ซึ่งปรัชญาที่ต้องการให้เป็นพื้นที่รวมตัวกันอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม และหลังจากนี้เขาได้แย้มบอกไว้ว่าจะมีกิจกรรมใหม่ๆ ให้ผู้คนได้มาใกล้ชิดกัน สบตากันนอกจอเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ไม่ต้องรอมาพบกันแค่ปีละครั้งอีกต่อไปQ : ขอเริ่มจากประโยคแนะนำตัวที่คุณพูดไว้ ‘MY VOICE IS FOR CREATING CULTURAL EXPRESSION THAT IS MEANINGFUL AND SPREADING IT WIDELY’ ช่วยอธิบายเพิ่มสักหน่อยว่าทำไมถึงเลือกประโยคนี้?A : ผมรู้สึกว่ายุคนี้การสื่อสารสำคัญกว่ายุคไหนๆ ทุกอย่างที่เราเสพมันผ่านจอ ผ่านมือถือ ผ่านแพลตฟอร์ม หรือแม้แต่สิ่งที่พวกคุณทำอยู่ก็ต้องยอมรับนะว่ามีบทบาทอย่างมากกับรูปแบบชีวิตคนสมัยนี้ เพราะวิธีที่คนรับสารเลือกเสพกันอยู่นี้ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายเช่นกัน แค่ ‘วิธีการเสพสื่อ’ จากหน้าจอมือถือเยอะๆ ก็อาจทำให้คนได้รับผลกระทบทั้งร่างกาย ทั้งสายตา แล้วยังส่งต่อไปยังพฤติกรรมของเราด้วย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรากำลังเสพ ‘เนื้อหาอะไร’ เพราะทุกสิ่งที่เรารับเข้าไปมันมีผลต่อวิธีคิดไปจนถึงลักษณะนิสัยของเราได้จริงๆเพราะเช่นนั้น Wonderfruit เลยให้ความสำคัญกับ ‘กระบวนการ’ เป็นอย่างมาก เพื่อให้ทุกอย่างที่ออกจากเราถึงผู้คนนั้นต้องผ่านกระบวนการคิด ผ่านการสัมผัส ผ่านการคุยกับคนที่เกี่ยวข้องแบบละเอียด เรารู้สึกว่าเราเป็นเหมือน ‘กระบอกเสียง’ และเป็น ‘พื้นที่ถ่วงดุล’ ของโลกที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็วในเวลานี้<img src="https://media.thairath.co.th/image/fN6esGs1a2hZka8T64orPxiTrNEx1j8JgR56s1a2hy9pKKU9Lfse9vA1.jpg" data-id="102789" data-url="https://media.thairath.co.th/image/fN6esGs1a2hZka8T64orPxiTrNEx1j8JgR56s1a2hy9pKKU9Lfse9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib"><img src="https://media.thairath.co.th/image/f0idAJqr8p1V2UgnEztPD3oyp1V27v7EvE2ySYN2jznmxSYjke9vA1.jpg" data-id="102789" data-url="https://media.thairath.co.th/image/f0idAJqr8p1V2UgnEztPD3oyp1V27v7EvE2ySYN2jznmxSYjke9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">Q : คุณเห็นด้วยมั้ยว่าในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเวลา แล้วมีมุมมองอย่างไรกับการใช้เวลาบนหน้าจอและการรับสื่อของคนในยุคนี้?A : ผมเห็นด้วยอย่างมาก เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในยุคนี้คือ ‘เวลา’ กับ ‘สมาธิ’ แค่เราออกไปจากบ้านก็เจอสิ่งที่เข้ามาแย่งความสนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา แพลตฟอร์มต่างๆ หรืออัลกอริทึมที่ป้อนสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อล็อกเราให้อยู่กับมันนานที่สุด ถ้าเราไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ สิ่งเหล่านี้จะซึมเข้าไปในจิตสำนึกโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วเราอาจจะตอบสนองออกมาโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกฝนตัวเองให้มีสมาธิและสติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง มันก็เหมือนกับการกินหรือการออกกำลังกายนั่นแหละ ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้สิ่งเร้าภายนอกมารบกวนQ : ถ้าอย่างนั้นเราควรเริ่มยังไงเพื่อบาลานซ์การใช้หน้าจอให้เหมาะสม?A : เริ่มง่ายที่สุดคือ การหาเวลาให้ได้อยู่กับตัวเองแบบไม่มีโทรศัพท์ เพื่อมีสติและอยู่กับความคิดตัวเอง ถ้าตามหลักศาสนาพุทธก็คือการนั่งสมาธิ ซึ่งมันอาจไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งสมาธิแบบเป๊ะๆ ก็ได้ แค่เริ่มต้นหาเวลาอยู่กับความคิดของตัวเองให้ได้ทุกวันถึงแม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคนไม่มีโอกาสทำ บางคนขนาดไปเดตกับแฟนในร้านอาหาร ก็ยังนั่งก้มดูมือถือทั้งคู่เลย อันนี้คือเรื่องจริงที่พวกเราก็เห็นจนชินไปแล้ว แต่มันกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างนะว่าเราถูก ‘ดึง’ ไว้กับหน้าจอแค่ไหนสำหรับลูกผม เขาอยู่ในวัย 17 ปี จะบังคับให้มานั่งสมาธิด้วยกันก็ยาก ผมก็เลยต้องตั้งกติการ่วมกันไว้ เช่น วันอาทิตย์ห้ามใช้โทรศัพท์ คือบางอย่างต้อง ‘บังคับเพื่อให้เข้าใจ’ ก่อน แล้วค่อยๆ ให้เขาเห็นคุณค่าของมันเองQ : เทคโนโลยีและ AI กำลังโตเร็วมาก จนในบางประเทศคนเริ่มกลับมาหา human-made หรือ human touch คุณมอง movement นี้อย่างไร?A : จริงๆ แล้วตอนนี้การเข้ามามีบทบาทของ AI เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และมันมาเร็วมาก ผลกระทบที่แท้จริงของมันจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกเยอะ ผมคิดว่าคนเราต้องแบ่งเวลาของตัวเองให้ชัดขึ้นกว่าเดิม ด้วยการหาเวลาให้เราได้อยู่กับตัวเอง สัมผัสธรรมชาติ และตัดขาดจากหน้าจอบ้างถ้าสังเกตดีๆ พอเรามองจอเยอะๆ มันจะเริ่มรู้สึกแสบตา แต่ถ้ากลับไปมองแสงธรรมชาติ ความรู้สึกมันต่างกันเลย แสงแบบนั้น ‘ถูกต้อง’ มันเป็นการช่วยบาลานซ์ให้กับร่างกายเรา แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ต้องการปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เราต้องสร้างวินัยในการบาลานซ์ชีวิตให้ได้ ไม่งั้นเราจะถูกดึงจนหมดแรงโดยไม่รู้ตัวQ : คุณให้ความสำคัญกับช่วงเวลาและประสบการณ์นอกจอมือถือ แล้วมีการวางหมุดหมายต่อไปของ Wonderfruit ในอีก 5 ปี ไว้อย่างไรบ้าง?A : จริงๆ ปีนี้เราก็เริ่มแล้วนะ Wonderfruit จะไม่ได้เป็นแค่เทศกาลที่จัดปีละครั้งช่วงปลายปี แต่กำลังจะกลายเป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นทั้งปี เรามีพื้นที่กว่า 500 ไร่ที่กำลังถูกใช้ระหว่างปีให้มากขึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมที่หลากหลายขึ้นด้วยเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเพิ่งมีโปรเจกต์ที่รวมผู้คนกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 50 คน มาร่วมกิจกรรมกันในชื่อว่า ‘Chapter’ ที่เราได้เชิญพระ ศิลปิน นักดนตรี คนทำอาหาร มาคุย ตั้งคำถาม และหาคำตอบร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องพลังงานและความถี่ที่มีอยู่ในศาสตร์ต่างๆ ทั้งอาหาร ดนตรี และศิลปะ คือคุยกันแบบลึกและละเอียดจริงๆ นี่เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่เราวางไว้อีกบริบทหนึ่งที่เราสนใจคือเรื่อง ‘สื่อบนโลกดิจิทัล’ ตอนนี้เราเพิ่งปล่อยซีรีส์พอดแคสต์ประจำสัปดาห์ และหลังจากนั้นจะมีการเปิดตัวสารคดีสั้น รวมถึงค่ายเพลงของเราเองที่เพิ่งปล่อยอัลบั้มไปเมื่อไม่นานนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมทั้งบนพื้นที่ของเราเองและพื้นที่อื่นๆ ตลอดทั้งปี โดยไม่ว่าจะจัดขึ้นในสถานที่ใดยังคงปรัชญาเดียวกันกับ Wonderfruit ในการลงมือทำQ : ในฐานะผู้ก่อตั้ง คุณมองว่าภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทสนับสนุนเทศกาลลักษณะนี้อย่างไรบ้าง?A : ความจริงเราก็ทำงานร่วมกับภาครัฐอยู่แล้ว ทั้ง ททท. และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งผมว่ามันสำคัญมาก เพราะถ้าเราจะใช้ ‘วัฒนธรรม’ เป็นตัวขับเคลื่อนสังคม ภาครัฐกับเอกชนต้องทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่านี้<img src="https://media.thairath.co.th/image/c2j4vu5PoVgTNs0tKFp9Pi5ucP7gJ4RWs3JAzUDuyege9vA1.jpg" data-id="102789" data-url="https://media.thairath.co.th/image/c2j4vu5PoVgTNs0tKFp9Pi5ucP7gJ4RWs3JAzUDuyege9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">

Beauty Standard ยังคงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้คน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ‘บรีม - พรกมล เพชรดาษดา’ Chief Marketing Officer ของ Aura Bangkok Clinic และ Aura Xpress จึงอยากสนับสนุนให้ทุกคนกล้าเป็นตัวเอง และเลือกทำหัตถการในแบบที่ใช่ มากกว่าการทำตาม Beauty Standard ของสังคม

MIRROR50 : ‘บรีม - พรกมล เพชรดาษดา’ Aura Bangkok Clinic เจ้าของคลินิกความงามสำหรับคนยุคใหม่ที่อยากผลักดันให้ทุกคนนิยามคำว่าเพอร์เฟกต์ในแบบของตัวเอง

MIRROR50 : ศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา ผู้อำนวยการกลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม ผู้ผลักดันนโยบาย ‘เมนส์มาลาได้’ เข้าสภาได้สำเร็จ 

นักกิจกรรมเฟมินิสต์ นักกิจกรรมเลสเบี้ยน - LGBTQ+ และนักกิจกรรมทางการเมือง ประธานบริษัท นฤมิตไพรด์ จำกัด หรือ ‘Bangkok Pride’ ทั้งหมดนี้คือบทบาทที่นิยามทั้งหน้าที่และตัวตนของ ‘วาดดาว - อรรณว์ ชุมาพร’ 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Leader

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS