เคท จากเกมรักทรยศ ผู้ตกอยู่ในสถานะเมียน้อยพาตัวเองไปคลินิกที่ให้บริการทำแท้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเองยังได้พูดถึงข้อกฎหมายไทย ที่หากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ทุกกรณีสามารถเข้ารับบริการทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย

การทำแท้งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรจาก ‘เกมรักทรยศ’ การปรับตัวของซีรีส์ไทย ที่เข้าใจ ก.ม.ทำแท้ง และสิทธิในร่างกายผู้หญิง

“ผู้หญิงอายุ 22 จะไม่มีสิทธิตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายตัวเองเลยเหรอคะ?” นี่คือสิ่งที่&nbsp;เคท (รับบทโดย แพทริเซีย กู๊ด)&nbsp;ผู้ตกอยู่ในสถานะเมียน้อยยืนยันออกมา และนั่นทำให้เธอตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม ทั้งด้วยสถานะเมียน้อยที่ไม่สามารถสร้างครอบครัวได้อย่างเปิดเผย และด้วยสถานะความเป็นนักศึกษาของเธอ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความจริงข้อหนึ่งก็คือ ณ เวลานั้นเธอไม่ได้พร้อม และไม่ตั้งใจจะมีลูก การเลือกจะเก็บลูกไว้หรือไม่นั้นจึงควรเป็นการตัดสินใจของเธอเพียงผู้เดียว และซีรีส์ก็ดำเนินเรื่องให้เป็นเช่นนั้นหลังจากตัดสินใจ เคทพาตัวเองไปคลินิกที่ให้บริการทำแท้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเองยังได้พูดถึงข้อกฎหมายบ้านเรา ที่หากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ทุกกรณีสามารถเข้ารับบริการทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย ภาพที่เราเห็นจึงไม่ใช่ภาพคลินิกทำแท้งมืดๆ เถื่อนๆ ที่ดูน่ากลัวหรือดูเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต แต่เป็นภาพคลินิกธรรมดาๆ ที่บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย มีพยาบาลที่คอยให้บริการ แนะนำเรื่องการตรวจร่างกายเพื่อดูความพร้อม และมีแพทย์เป็นผู้ประเมินการรักษา ซึ่งการเลือกใช้คำว่า “การรักษา” นี้เองก็สะท้อนถึงทัศนคติของผู้สร้าง (ที่อาจจะมีมาตั้งแต่ต้นฉบับเวอร์ชันต่างประเทศหรือไม่ เราไม่แน่ใจ) ที่ไม่ได้กล่าวโทษและต้องการยัดเยียดภาพแง่ลบให้กับการทำแท้ง ยิ่งกว่านั้นยังมีส่วนช่วยสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ให้กับคนดูอีกด้วย.เมื่อเคทสอบถามถึง ‘วิธีการ’ ว่า “ส่วนใหญ่เขาใช้วิธีแบบไหนเหรอคะ” คำตอบจากพยาบาลคือ “ใช้ยาหรือไม่ก็ MVA (เครื่องดูดสุญญากาศ) ค่ะ” แน่นอนว่าคำอาจจะฟังดูน่าตกใจ เคทเองเมื่อได้ยินก็แสดงท่าทีตกใจออกมา พยาบาลจึงอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ คุณหมอจะประเมินและใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ” ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องน่าชื่นชมอย่างยิ่งที่ผู้สร้างได้ทำการบ้านเกี่ยวกับกระบวนการทำแท้งปลอดภัย ทั้งยังตั้งใจนำเสนอภาพให้เป็นมิตรอย่างที่สุดไม่เพียงเท่านั้น ตัวละครอื่นๆ ในเรื่องไม่ได้จ้องประณามหยามเหยียดเคทที่เธอทำแท้ง หรือกระทั่งมานั่งพูดถึงเรื่อง ‘ความผิดบาป’ กันอีกต่อไป ทัศนคติที่ตัวละครเมียหลวงอย่างหมอเจนมีต่อการตั้งท้องของเคทนั้นคือ ‘เรื่องส่วนตัว’ ที่คนอื่นไม่ได้มีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยว เมื่อเธอรู้ว่าเคทไปที่คลินิกแล้ว คอมเมนต์เดียวของเธอก็คือ “เด็กนั่นก็เด็ดเดี่ยวดีนะ” ที่สะท้อนว่าแม้โดยสถานะจะเป็นศัตรูหัวใจกัน แต่ในข้อนี้ดูเหมือนหมอเจนเองก็เคารพการตัดสินใจของเคทในข้อนี้เรื่องเดียวที่มีการหยิบมาถกกันเกี่ยวกับการทำแท้ง คือฉากที่หมอเจนคุยกับแม่ของฝ่ายชายตัวต้นเรื่องอย่างอธิน (ตัวละครแม่นี่เองที่ดูมีแนวโน้มจะ conservative ที่สุด) แต่แม่ฝ่ายชายก็ไม่ได้พูดเรื่องความเชื่ออย่างบาปกรรมด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอกังวลคือสิทธิของลูกชายเธอที่เป็นพ่อเด็กต่างหาก ที่เขาก็ควรจะได้รู้ และ (สำหรับแม่ของอธิน) ควรมีสิทธิในการร่วมตัดสินใจว่าเคทควรทำแท้งหรือไม่&nbsp;ท้ายที่สุดซีรีส์ก็ได้ฉายให้เห็นภาพของความคิดแบบชายเป็นใหญ่ที่เป็นต้นเหตุของความวายป่วงทั้งหมด –ซึ่งแม้จะชวนขัดใจสำหรับคนดู แต่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เส้นเรื่องต่อได้– อธินเข้ามาโน้มน้าวให้เคทหยุดการทำแท้งได้สำเร็จ เขาทั้งขายฝันและเกลี้ยกล่อมให้เคทยอมเก็บลูกไว้ ซึ่งเธอก็ใจอ่อน ทั้งที่อธินไม่ได้มีแผนหรือข้อยืนยันชัดเจนด้วยซ้ำว่าเขาจะร่วมรับผิดชอบเด็กในท้องอย่างไรด้วยซ้ำและตัวละครอธินนี้เองที่สะท้อนภาพของผู้ชายที่ติดอยู่ในโลกใบเก่า โลกที่ผู้หญิงไม่ควรจะเก่งกว่าหรือเก่งเท่ากับผู้ชาย เขาเป็นฝ่ายที่รู้สึกไปเองว่ากำลังถูกเมียข่มอยู่ ความทำงานเก่งของหมอเจนทำให้เขารู้สึกตัวเล็ก จนต้องไปมีคนอื่นเพียงเพื่อจะได้รู้สึกเป็นฝ่ายดูแลและตัวใหญ่กว่า และหากจะพูดว่าความความบรรลัยทั้งหมดในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดทั้งซีรีส์ มีตัวการสำคัญคือ toxic masculinity ของอธิน ก็คงไม่เกินเลยไปนักความน่าสนใจคือ แม้จะยังรักหรือตกอยู่ในห้วงความรู้สึกมูฟออนไม่ได้ แต่ตัวละครหญิงในเรื่องก็ล้วนแต่มีทางเลือกของพวกเธอเอง มีสิทธิตัดสินใจในร่างกายของตัวเอง แม้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนเส้นของศีลธรรมอันดีงามเสมอไป แม้จะไม่ได้สวยสะอาดเพอร์เฟกต์ แต่ ‘เกมรักทรยศ’ ก็นำเสนอภาพของผู้หญิงยุคใหม่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างกล้าหาญและน่าสนใจอย่างยิ่ง นับเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไทยที่น่าจับตามากทีเดียว&nbsp;

ภาพเควียร์หนุ่มใหญ่ของ Luca Guadagnino เป็นอีกหนึ่งก้าวของหนังเควียร์ยุคใหม่ที่ไม่ได้พูดถึงเพียงเเค่มุมมองความรักโรแมนติก หรือการ Coming-of age แต่การเลือกเล่าเรื่องเควียร์ที่เลยวัยน่ารักสดใสสู่การเป็นเควียร์วัยกลางคนที่กำลังจะล่วงเลยไปสู่วัยชรา ช่วยเพิ่มมิติการรับรู้แง่มุมของเควียร์ในแบบอื่นๆ ที่ต่างออกไป อย่างการสะท้อนภาวะ Mid-life Crisis ซึ่งทำให้เราเห็นความเป็นจริงของชีวิตเควียร์เหล่านั้นได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

What else should I be? All apologies. ตัวตนหล่นหายของเควียร์วัยกลางคนในหนังและซีรีส์ อีกแง่มุมของเควียร์ที่ไม่โรแมนติก ไม่แฟนตาซี แต่สะท้อนความเปลี่ยวเหงาและเเปลกแยกอย่างลึกซึ้ง

เวลาคิดถึงแองเจลิน่า โจลี่ เราคงคิดถึงเธอในฐานะไอคอนแห่งความสวยเซ็กซี่ นักแสดงมากความสามารถ หรือในบทบาทของนักเคลื่อนไหวในด้านผู้ลี้ภัย แต่อีกหนึ่งบทบาทที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักคือเธอเป็นผู้ก่อตั้ง Atelier Jolie พื้นที่ศิลปะใหม่ในสตูดิโอเก่าของแอนดี้ วอร์ฮอล

Atelier Jolie ศูนย์ศิลปะแห่งใหม่ของแองเจลิน่า โจลี่ ในสตูดิโอเก่าของแอนดี้ วอร์ฮอล เพื่อเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของผู้หญิงและผู้ลี้ภัย

มันจะดีแค่ไหนหากบางครั้งคนเราสามารถเป็นเครื่องจักรได้หนึ่งวัน นั่งทำงานได้แบบไม่ต้องเหนื่อยต้องเมื่อย ไม่ต้องลาป่วย ไม่ต้องแบกปัญหาส่วนตัวไปทำงานด้วยทุกวัน ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้นนอกจากงาน ที่สำคัญคือได้รับอนุญาตให้โลกของการทำงานกับโลกของชีวิตส่วนตัว ‘แยก’ ออกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องรุกล้ำขอบเขตซึ่งกันและกัน

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS