ผู้ชายทำตัวแย่ แต่ผู้หญิงหลงรัก? ทุกคนจะมีความสุขได้ต้องมีรักโรแมนติก? การศึกษาใหม่เผย Gen Z อยากเห็นฉากเซ็กซ์น้อยลง เอียนกับรักโรแมนติกในหนัง และอยากเห็นภาพความสัมพันธ์ที่หลากหลายกว่านี้จากในจอ

การศึกษาใหม่เผย Gen Z อยากเห็นฉากเซ็กซ์น้อยลง เอียนกับรักโรแมนติกในหนัง และอยากเห็นภาพ ความสัมพันธ์ที่หลากหลายกว่านี้จากในจอ

จริงๆ แล้วรสนิยมการดูหนัง หรือซีรีส์ของแต่ละคนเป็นความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ บางคนอาจจะชอบหนังโรแมนติกจ๋าๆ ขณะเดียวกันบางคนอาจจะเบนหน้าหนีเพราะรู้สึกว่ามันเลี่ยนเกินไป ซึ่งก็นับว่าไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางทีหนังรัก ก็แฝงภาพจำบางอย่างที่บางครั้งก็กลายเป็นการเหมารวมคาแรกเตอร์ของผู้คนทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ที่น่าสนใจเลยคือ การศึกษาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ โชว์ให้เห็นว่าวัยรุ่น <a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/Gen%20Z" rel="noopener noreferrer" target="_blank">Gen Z</a> เอียนกับหนังรักโรแมนติก อยากให้มีฉาก<a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C" rel="noopener noreferrer" target="_blank">เซ็กซ์</a>น้อยลง และอยากดูหนังเชิงมิตรภาพมากกว่า เพราะพวกเขาคิดว่าหลายครั้ง ‘สื่อ’ ก็มักจะสเตริโอไทป์เรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครที่พวกเขามองว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นผลิตภาพจำบางอย่างที่ไม่ตอบโจทย์ความหลากหลายของความสัมพันธ์ในยุคนี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนมุมมองของคนรุ่นใหม่ยุคนี้ได้อย่างดี และผู้ผลิตหนังก็สามารถนำไปทบทวนว่าที่ผ่านมาหนังที่มีภาพจำชัดๆ เรื่องคาแรกเตอร์ตัวละคร จริงๆ มันมีปัญหาจริงไหม หรืออาจจะนำไปทำการบ้านเพื่อผลิตหนังในอนาคตเพื่อตอบโจทย์พวกเขามากขึ้นได้ การศึกษาที่ว่านี้มีชื่อว่า Teens and Screens ที่ทำการศึกษาโดย Center for Scholars &amp; Storytellers ภายใต้ UCLA ซึ่งสำรวจวัยรุ่น 1,500 คน อายุระหว่าง 10-24 ปี (อายุ 10-12 ปี จะไม่ถูกถามเรื่องเซ็กซ์ และความสัมพันธ์โรแมนติก) พบว่าวัยรุ่น 51.5% ปรารถนาที่จะดูเนื้อหาที่มีศูนย์กลางอยู่ที่มิตรภาพ และความสัมพันธ์ที่ไม่มีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง (platonic relationships) 44.3% รู้สึกว่าความโรแมนติกในสื่อนั้นถูกใช้มากเกินไป 39% ต้องการเห็นคาแรกเตอร์ของคนที่เป็น aromantic หรือ asexual มากขึ้นบนจอ และ 47.5% กล่าวว่าเซ็กซ์ไม่จำเป็นสำหรับเนื้อเรื่องของรายการทีวี และภาพยนตร์ส่วนใหญ่ เหตุผลส่วนหนึ่งที่พวกเขาคิดแบบนั้น ตามรายงานระบุว่าเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการเล่าเรื่องเพศแบบ ‘เหมารวม’ และการเล่าเรื่องผ่านบรรทัดฐานรักต่างเพศที่ยังคงมีอยู่มากในความสัมพันธ์โรแมนติก หรือความสัมพันธ์ทางเพศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก พวกเขาก็เลยรู้สึกว่าอยากมองหาสื่อที่เป็นตัวแทนเรื่องของมิตรภาพมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ชีวิตวัยรุ่นของพวกเขามากกว่า พอสื่อที่พวกเขาได้ดูพยายามขายความโรแมนติกที่มีการสเตริโอไทป์บางอย่างมาแล้ว พวกเขารู้สึกว่ามันฝืนๆ และท็อกซิก ยกตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์จำเป็นต้องจบแบบมีความสุข ผู้ชายและผู้หญิงจะต้องลงเอยกันในรูปแบบความสัมพันธ์โรแมนติก หรือมีปัญหารักสามเส้า ฯลฯ เราขอยกตัวอย่างคำตอบจากผู้ตอบแบบสอบถามที่น่าสนใจ เมื่อถูกถามถึงการสเตริโอไทป์ความสัมพันธ์โรแมนติกในสื่อมาให้อ่านกัน ซึ่งมันก็สะท้อนปัญหาบางอย่างไว้เป็นนัยๆ “ฉันมักจะเห็นคนที่มาจากความว่างเปล่า มาตกหลุมรัก และได้รับทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการเสมอ ฉันรู้สึกว่าบางครั้งมันก็กำหนดกรอบความคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ที่พวกเขาอาจจะต้องการเพียงสิ่งสำคัญอย่างอื่นเพื่อให้มีความสุข” ผู้หญิงจอร์เจียวัย 23 กล่าว ซึ่งอาจหมายความว่า เธออยากเห็นการตีความชีวิตที่ผู้คนก็สามารถมีความสุขได้ แม้จะไม่มีคนรักมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนคนในวัยเธอที่รู้สึกว่าสามารถมีความสุขกับอย่างอื่นได้เหมือนกัน “ผู้ชายที่ทำนิสัยแย่ๆ กับผู้หญิง แต่เธอก็จบลงที่การไปตกหลุมรักเขา” ผู้หญิงชาวเอเชียนวัย 23 กล่าว ซึ่งก็อาจหมายว่า แม้ว่าความจริงแล้วจะมีความรักที่ผู้หญิงไปชอบคนที่นิสัยไม่ดีกับเธออยู่จริง แต่การได้เห็นคาแรกเตอร์แบบนี้ในหลายๆ เรื่อง ที่พระเอกเลว แต่นางเอกรัก ก็เหมือนกับการปลูกฝังค่านิยม ‘ทำร้ายเพราะรัก’ ซึ่งถูกอ้างอยู่หลายครั้งในการเกิดความรุนแรงทางเพศที่นับว่าอันตราย และเราไม่ควรทำให้มันเป็นเรื่องปกติเสียเท่าไร “ฉันไม่ชอบที่มิตรภาพของเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิงทุกคนจะต้องมีความโรแมนติกในบางจุด บางครั้งคนเราก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้” เด็กผู้หญิงวัย 16 ปี ชาวอเมริกันกล่าว ซึ่งอาจหมายความว่า ณ ตอนนี้หนังที่เกี่ยวข้องกับมิตรภาพชาย-หญิง ที่เน้นไปที่การเป็น ‘เพื่อน’ กันจริงๆ ยังมีน้อยเกินไป เพราะส่วนใหญ่มักจะตีไปที่ความโรแมนติก หรือต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแอบชอบกันอยู่ ซึ่งก็เหมือนทำให้ค่านิยม ผู้ชายกับผู้หญิงเป็นเพื่อนกันไม่ได้เข้มข้น ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เป็นตามนั้นเสมอไป จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่ามันไม่รีเลทกับชีวิตของพวกเขาเท่าไร (บางคนอาจจะรีเลทก็ได้) โดยส่วนใหญ่เนื้อหาที่พวกเขาจะอินก็มักจะเป็นเนื้อหาที่ให้ความหวัง ยกระดับจิตใจกับคนที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค หรือแม้แต่รู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นมันเหมือนชีวิตของฉันเลย ไปจนถึงเรื่องราวของมิตรภาพอย่างที่กล่าวไป โดนมีการอ้างถึงซีรีส์ เช่น Stranger Things, Heartstopper และ The Summer I Turned Pretty ที่แม้ว่าใน 3 เรื่องนี้จะมีการใส่ความโรแมนติกลงไปบ้าง แต่ความโรแมนติกนั้นกลับหลากหลาย และรู้สึกว่า ‘สมจริง’ ไม่ค่อยจะสเตริโอไทป์เท่าไรนั่นเอง อย่าง Heartstopper เอง ก็ดูเป็นความสัมพันธ์ของความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่ได้มีการกำหนดภาพจำชัดเจนเรื่องเพศแม้แต่น้อย ดังนั้นอาจบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้แอนตี้ความสัมพันธ์โรแมนติก เพียงแต่ต้องการให้ความสัมพันธ์โรแมนติกปราศจากการกำหนดภาพจำที่สร้างความเจ็บปวดบางอย่างในสังคมนั่นเอง “แม้ว่าวัยรุ่นจะต้องการให้เซ็กซ์บนทีวี และภาพยนตร์มีน้อยลง แต่สิ่งที่การสำรวจบอกจริงๆ คือพวกเขาเพียงต้องการความสัมพันธ์ประเภทต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ที่สะท้อนผ่านสื่อที่เขารับชม” ดร. Yalda T. Uhls ผู้เขียนร่วมของการศึกษานี้ และเป็นศาสตราจารย์วุฒิคุณในภาคจิตวิทยาที่ UCLA กล่าว และเสริมว่า “แม้ว่านักเล่าเรื่องบางคนจะใช้เซ็กซ์ และความโรแมนติกเป็นทางลัดในการเชื่อมโยงตัวละคร แต่สิ่งสำคัญสำหรับฮอลลีวูด คือการรับรู้ว่าวัยรุ่นต้องการเรื่องราวที่สะท้อนสเปกตรัมทั้งหมดของความสัมพันธ์” อ้างอิง: <a href="https://ew.com/tv/gen-z-wants-less-sex-more-friendship-tv-movies-ucla-study/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://ew.com/tv/gen-z-wants-less-sex-more-friendship-tv-movies-ucla-study/</a> <a href="https://static1.squarespace.com/static/633f0603fdaa7311ba384d21/t/65388d5f0e3d4d7ecad18fc9/1698205028227/Teens+%26+Screens+2023+Report.pdf" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://static1.squarespace.com/static/633f0603fdaa7311ba384d21/t/65388d5f0e3d4d7ecad18fc9/1698205028227/Teens+%26+Screens+2023+Report.pdf</a>&nbsp;

สำหรับกรณีของนักแสดงสาวชื่อดังอย่าง ฮันโซฮี และ ฮเยริ เรื่องส่วนตัวได้กลายเป็นประเด็นระดับประเทศทันที เมื่อตัวละครทั้งหมดในเรื่องล้วนแต่เป็นคนดังเบอร์ต้นของวงการ 

หรือสำหรับเกาหลีใต้ ยังไงคุณก็ต้องเป็น Good Girl จากกรณีของฮันโซฮีที่ถูกโจมตีอย่างหนัก แถมยังหลุดจากพรีเซนเตอร์ เพราะดราม่าเรื่องแฟนหนุ่ม

สำหรับเราที่ลองหยิบ Buffy The Vampire Slayer มาดูอีกครั้งด้วยเลนส์ของยุคสมัยปัจจุบันก็พบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ ‘Woke’ มาก่อนกาล ในความพยายามส่งเมสเสจพลังหญิงด้วยการสร้างเฟมินิสต์ไอคอนสักคนเพื่อต่อสู้กับแนวคิด ‘Misogynist’ ในแง่มุมต่างๆ

27 ปี ‘Buffy The Vampire Slayer’ มือปราบแวมไพร์ผู้ต่อสู้กับแนวคิด Misogynist ผ่านมุมอ่อนแอในตัวเอง และยืนยันเรื่องพลังหญิงผ่าน ‘ทางเลือก’ ที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์

วอนยอง IVE มีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อเพลง ‘Blue Heart’ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเหล่า ‘ไอดอลหญิง’ ที่ต้องต่อสู้กับอุตสาหกรรมไอดอลที่มักจะใจร้ายกับผู้หญิงอย่างมาก และบีบคั้นให้พวกเธอต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและเยือกเย็นเพื่อเดินหน้าใช้ชีวิตต่อ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Films

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS