อย่าลืมใจดีกับไอดอลที่เห็นในจอ ‘Doona! ไอดอลสาวข้างบ้าน’ ซีรีส์ที่ชวนให้มองไอดอลในฐานะคนคนหนึ่ง ซึ่งควรได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนั้น
อย่าลืมใจดีกับไอดอลที่เห็นในจอ ‘Doona! ไอดอลสาวข้างบ้าน’ ซีรีส์ที่ชวนให้มองไอดอลในฐานะคนคนหนึ่ง ซึ่งควรได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนั้น

อย่าลืมใจดีกับไอดอลที่เห็นในจอ ‘Doona! ไอดอลสาวข้างบ้าน’ ซีรีส์ที่ชวนให้มองไอดอลในฐานะคนคนหนึ่ง ซึ่งควรได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนั้น

by MIRROR TEAM 24 Oct 2023

แชร์บทความนี้

ซูจี สวมบทบาท ดูนา ในซีรีส์ Doona! ไอดอลสาวข้างบ้าน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งด้วยความสวยที่หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อย่างกับหลุดออกมาจากเว็บตูนต้นฉบับ จนถึงฝีมือการแสดง การถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดของตัว ‘ดูนา’ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพังทางจิตใจ หากแต่ก็ต้องพยุงจิตใจนั้นให้เดินหน้าใช้ชีวิตต่อให้รอด เรียกได้ว่าซูจีกินขาดกับบทบาทนี้ และหลายคนก็บ่อน้ำตาแตก อินกับเธอไปตามๆ กัน และขนานไปกับเส้นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ระหว่างเธอกับนักศึกษาหนุ่มที่อาศัยในบ้านหลังเดียวกัน เรายังได้เห็นเบื้องหลังความเจ็บปวดของดูนาในการเป็นไอดอล และนี่ก็ถือเป็นใจความหลัก ที่ตัวเว็บตูน และซีรีส์ ต้องการให้ผู้คนได้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของอาชีพที่เรียกว่า ‘ไอดอล’ ซึ่งน่าจะดีกว่านี้หากทุกคนใจดีกับพวกเขา และเธอกว่านี้สักหน่อย

Doona! บอกเล่าถึงดูนา ไอดอลสาวที่ดังพลุแตก จู่ๆ ก็ลาออกจากวง Dream Sweet จากนั้นเธอบังเอิญมาเช่าบ้านพักชั้นล่างที่แชร์ร่วมกับนักศึกษาหลายๆ คน และพระเอกของเรา วอนจุน (รับบทโดย ยังเซจง) ก็เผอิญย้ายเข้ามาใหม่ และอยู่ชั้นบนของบ้าน ทำให้ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของทั้งคู่เริ่มต้นขึ้น ซึ่งตลอด 9 ตอนของซีรีส์ เราจะได้เห็นถึงสิ่งที่ไอดอลอย่างดูนาเคยเผชิญ และเผชิญอยู่ ไปพร้อมๆ กับความสัมพันธ์ครั้งนี้ที่ค่อยๆ เติมเต็มชีวิตเธอให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันเราก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจดูนาที่ดูเป็นไอดอลที่ตัวตนนอกจอไม่ได้เป็นไปตามอุดมคติ เธอสูบบุหรี่จัดมาก เธอค่อนข้างเข้าใจยาก และดูจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น หรือกระทั่งมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ กระทั่งในสายตาชาวเน็ต เธอคือบุคคลที่โด่งดัง แต่ก็ไม่ได้น่ารักน่าเห็นใจขนาดนั้น

*มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์ความเครียดสะสม ปัญหาสุขภาพจิต และค่ายเพลงที่ไม่เคยรับฟังเสียง เหล่านี้คือภาพที่เห็นชัดเจนผ่านตัวซีรีส์ ซึ่งหากมองดูไอดอลในชีวิตจริง เราก็จะเห็นว่าไอดอลหลายคนประสบกับปัญหาทางด้านสุขภาพจิต และหลายครั้งปัญหาเหล่านั้นก็มาจากการที่ ‘ค่าย’ ซึ่งมองไอดอลเป็นเพียงทรัพยากรในการทำเงิน แต่ไม่ได้มาสนใจพวกเขา และเธอ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง หรือดูแลสภาพจิตใจของตัวไอดอลเท่าไรนัก (ทำให้หลายครั้งเราได้เห็นเหล่าแฟนคลับออกมาเรียกร้องให้ค่ายดูแลไอดอลที่ตัวเองรักให้ดีมากยิ่งขึ้น) ซึ่ง Doona! ก็ได้ขยายความให้เราเห็นว่าภายใต้รอยยิ้ม กระทั่งใบหน้าเรียบเฉยที่ไอดอลแสดงออกมา เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายในนั้นแต่ละคนกำลังเจ็บปวด หรือกลัวขนาดไหน

สำหรับดูนาแล้ว เธอตัดสินใจออกจากวงเพราะ “ร้องเพลงไม่ออก” ซึ่งเบื้องหลังการร้องเพลงไม่ออก มาจากการที่เธอต้องเผชิญกับเรื่องหนักๆ ในฐานะไอดอลเพียงคนเดียว อย่างที่ซีรีส์มักจะย้ำเสมอว่าเธอไม่มีเพื่อน อีกทั้งครอบครัวก็ไม่เพียงแต่ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย แต่ยังเป็นภาระทางใจที่หนักอึ้ง ค่ายเพลงที่เธออยู่ก็ควบคุมชีวิตเธอแทบทุกด้าน เราจะเห็นว่าเธอถูกยึดโทรศัพท์ทันทีที่ได้เข้ามาในค่ายนี้ และมีการถูกต่อว่าอยู่หลายครั้งว่าเป็นตัวปัญหา เธอโดนคอมเมนต์ชาวเน็ตขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตครอบครัวที่เป็นเรื่องส่วนตัวออกสู่สาธารณะ โดนข่าวลือเรื่องท้อง และโดนกดดันเรื่องความเพอร์เฟกต์ในการเป็นไอดอลเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องน้ำหนัก หรือเมื่อวันไหนรู้สึกไม่ไหวแล้วก็ต้องปั้นหน้าว่าต้องไหว เหมือนกับสเตจสุดท้ายก่อนเธอจะเป็นลมตกเวที และลาออกจากวงในที่สุด เธอก็ได้บอกกับผู้จัดการ (ที่เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจเดียวของเธอ–และในแง่หนึ่งก็ดูเหมือนจะ groom เธอมาตลอด) แต่เขาคนนั้นกลับต่อว่าเธอ ไม่รับฟัง และให้เธอฝืนขึ้นแสดง จนสุดท้ายเธอก็พังในที่สุด

ซาแซง และสตอล์กเกอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บั่นทอนจิตใจเหล่าไอดอล ซาแซง หรือแฟนคลับที่บ้าคลั่งจนไปละเมิดพื้นที่ส่วนตัวของไอดอล เป็นปัญหาที่วงการไอดอลเกาหลีมีมาตลอด หลายคนโดนตามถึงบ้าน โทร.มาปั่นป่วน โดนขู่ ไปจนถึงการจงใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อให้ได้ขึ้นไฟลต์เดียวกับศิลปิน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของไอดอลอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ไอดอลหลายคนต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เหมือนกับที่ดูนาก็โดนแบบเดียวกัน

ในครั้งแรกที่เธอเจอพระเอก เธอคิดว่าเขาเป็นซาแซงที่มาตามบุกถึงบ้าน ก่อนจะมารู้ภายหลังว่าไม่ใช่ และตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นความหวาดกลัวของดูนา ที่เมื่อได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ แถวบ้าน จะต้องรีบมาปิดประตู ค้นบ้านดูว่ามีจุดไหนที่ซ่อนกล้องแอบถ่ายไว้หรือเปล่า และเมื่อมีสตอล์กเกอร์ตามถึงบ้านจริงๆ หลังจากตามไปจัดการให้แล้ว พระเอกก็ต้องเอาเสื้อของเขาไปแขวนบริเวณระเบียงห้องของดูนา เพื่อให้ดูนารู้สึกปลอดภัยขึ้น ซึ่งสะท้อนภาพการมองผู้หญิงในสังคมเกาหลีใต้ ที่ยังถูกมองว่าอ่อนแอกว่าผู้ชาย และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดันตอกย้ำว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งความเป็นจริงสังคมมันควรจะปลอดภัยตั้งแต่แรก และดูนาก็ไม่ควรเจอซาแซง ที่คลั่งศิลปินจนขาดการยับยั้งชั่งใจแบบนั้น

และสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ความรักที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในวงการไอดอล แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงวัฒนธรรมแฟนคลับในวงการไอดอล ดราม่าจากการเดตนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไอดอลมีข่าวเดตออกมา แฟนคลับบางกลุ่มจะเกิดท่าทีต่อต้าน หรือหนักถึงขั้นประกาศแบนกันได้เลย ซึ่งนี่อาจเกิดจากความหวง และการมองไอดอลเป็นสินค้าของตัวเอง ทั้งที่ไอดอลเขาก็มีชีวิตของเขา และความรักนั้น อาจเป็นสิ่งเยียวยาใจที่ทำให้เขาอยากใช้ชีวิตต่อไปก็ได้ เหมือนกับดูนาที่สามารถใช้ชีวิตต่อไป เพราะวอนจุน จากเมื่อก่อนที่การตื่นมาใช้ชีวิตทุกวันของเธอเป็นเรื่องยากๆ ที่เธอไม่อยากจะตื่นมาเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็เป็นความสดใสเดียวที่ทำให้เธอค่อยๆ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นมาได้เมื่อถึงจุดที่ดูนาตัดสินใจคบกับวอนจุน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ดูนาถามเขาว่า ถ้าบริษัทให้เธอเลิกกับเขา เขาจะยังให้เธอกลับไปเป็นไอดอลอีกไหม ขณะที่การมีแฟนเป็นเรื่องปกติอย่างมากในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่พอเป็นไอดอลแล้ว กลับเป็นเรื่องวุ่นวายที่ยากเหลือเกิน และเป็นไปตามที่คิด เมื่อดูนากลับมามีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น เธอกลับเข้าสู่วงการอีกครั้ง และโดนยึดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอมีแรงทำงาน เพราะหากทำงานไปได้สัก 2 ปี เธอจะได้โทรศัพท์คืนมา และหวังว่าจะมีความสัมพันธ์กับวอนจุนต่อได้ แต่นั่นมันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา เพราะเขาเองก็ต้องต่อสู้ในเส้นทางชีวิตของตัวเอง และต้องการกำลังใจรายวันเช่นกัน ท้ายที่สุดต่างฝ่ายต่างก็ต้องเจ็บปวด ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้คงไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก หากบริษัทไม่พยายามจะปิดบังข่าวเดตของไอดอล เพราะกลัวว่า ‘กำไร’ ที่ได้จะลดลง

ในฉากจบ ผู้กำกับก็จงใจให้คนดูอย่างเรา ‘เดา’ กันเอาเองว่าทั้งคู่กลับมาคบกันแบบลับๆ หรือว่าเลิกกันไปแล้ว ก็คงเหมือนกับไอดอลในชีวิตจริงที่เราไม่รู้เลยว่าพวกเขาโสดจริงๆ หรือต้องแอบคบกับแฟนของตัวเองโดยไม่บอกใคร เพราะกลัวจะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตามหากดูในฉากอินโทรของแต่ละตอนก่อนเข้าเรื่อง ผู้กำกับก็ตั้งใจใส่ hint ไว้มากมาย ให้คนได้คาดเดา และมันคงเจ็บปวดน้อยกว่ามากๆ หากทั้งคู่ยังคบกันอยู่ ซึ่งก็ชวนให้คิดว่าในชีวิตจริงมีคู่รักกี่คู่ที่ต้องเลิกรากันไปอย่างเจ็บปวดเพราะฝ่ายหนึ่งต้องเป็นไอดอล ทั้งที่การตัดสินใจว่าจะเลิก หรือรัก มันไม่ควรมีคนนอกเข้ามาเกี่ยวเลย

ไม่ว่าจะดูนา หรือไอดอลคนอื่นๆ ในชีวิตจริง ต่างควรได้คบกับคนรักโดยที่ไม่ต้องปิดบัง หรือมีความสัมพันธ์ที่แคร์สายตาคนอื่นมากถึงเพียงนี้ เพราะบางครั้งคนรักของพวกเขา อาจเป็นกำลังใจสำคัญเดียวในการทำงาน เพื่อผลิตผลงานมาให้แฟนคลับได้เห็น และได้รักพวกเขาต่อในวงการก็ได้

ที่ว่ามาทั้งหมด ประโยค “อย่าลืมใจดีกับไอดอลที่คุณรัก” น่าจะเหมาะกับซีรีส์เรื่องนี้มากที่สุด เพราะถ้าคุณรักพวกเขา โปรดรักพวกเขาแบบที่พวกเขาเป็น และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อไอดอล ไม่ว่าจะในรูปแบบซาแซง หรือรูปแบบการสร้างความเกลียดชังต่างๆ เพราะผิดหวังที่ไอดอลไม่เป็นแบบที่ตัวเองต้องการ นับเป็นเรื่องที่ใจร้ายกับมนุษย์คนหนึ่งเหลือเกิน อย่าลืมว่าพวกเขามีชีวิตส่วนตัวของตัวเอง มีสุข มีเศร้า และนอกจากได้รับความรักจากแฟนคลับแล้ว พวกเขาก็ต้องการความรักจากผู้คนในชีวิตจริงของพวกเขาด้วยเช่นกัน และแม้ในตอนต้นๆ เรื่อง ดูนาจะบอกเองว่าเธอได้รับเงินเยอะจากอาชีพนี้ ถึงจะไม่ค่อยคุ้มค่ากับความเจ็บปวดที่ต้องแลกมา แต่สำหรับหลายคนที่ได้ดูเรื่องราวของเธอแล้วเสียน้ำตา น่าจะรู้สึกได้ว่าแม้จะได้เงินมากมาย แต่สิ่งที่ต้องเสียไปก็แทบจะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตคนคนหนึ่งพังได้เลยเช่นกัน ท้ายที่สุดเงินเหล่านั้นก็คงช่วยอุดรูรั่วในใจได้บางประการเท่านั้นเอง

...

แชร์บทความนี้

RELATED

HOT TOPICS

...

...