LadyMirror รู้ทุกเรื่องของผู้หญิง | แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ บิวตี้ ความงาม และอื่นๆ

แง่มุม empower และข้อควรระวังของ ‘Manifestation’ หลักคิดที่หลายคนยึดถือ ว่าหากเรา ‘เชื่อ’ ว่ามันจะเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้น

“ถ้าอยากมีชีวิตแบบไหน หรืออยากให้อะไรเกิดขึ้นจริง ขอแค่ ‘เชื่อ’ ด้วยใจจริง ว่าเราจะทำมันสำเร็จ หรือเราคู่ควรกับการมีสิ่งนั้นในชีวิต จักรวาลหรือกฎแรงดึงดูดจะพาสิ่งนั้นเข้ามาวางตรงหน้าเอง” นี่คือหลักของ ‘Manifestation’ หลักการใช้ชีวิตที่หลายคนกำลังนิยมทำกัน และพูดถึงบ่อยๆ ในช่วงนี้

Manifestation อาจไม่ใช่การขอพรให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเหมือนการไปไหว้พระ แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนที่ทำ manifest เขาต้องเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่อยากจะมี อยากจะได้ มันเกิดขึ้นกับชีวิตเราแบบแน่ๆ หรือเสมือนว่าเราได้รับสิ่งนั้นไปแล้ว เช่น ออกไปทำงานตอนเช้าก็บอกกับตัวเองว่าวันนี้เป็นวันที่สดใส และฉันมีความสุข / แทนที่จะพูดว่า เมื่อไหร่จะมีแฟน หรือขอให้มีแฟน ก็เชื่อไปเลยว่า ออร่าเราช่วงนี้คือเหมาะกับการมีแฟน มีคนจีบแน่ (เชื่อไปเลยก็ได้ว่าสเปกคนแบบไหนจะมาเป็นแฟนเรา) / บอกตัวเองว่าต้องได้ทำงานในฝันอย่างแน่นอน เพราะเราดีพอ และคู่ควร / เลิกบ่นว่าไม่มีเงินใช้ หรือช่วงนี้ตกอับ แต่เปลี่ยนมาวาดภาพในหัวชัดเจนว่ารายได้จะเข้ามาทางไหนได้บ้าง ฯลฯ

ฟังแบบนี้แล้ว บางคนอาจจะมองว่า manifestation หรือเรื่องของกฎแรงดึงดูด ไม่ต่างอะไรกับการเพ้อฝันหรือมูเตลูกับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็ล้วนเป็นความเชื่อส่วนบุคคล บางคนก็เชื่อ หรือบางคนก็อาจจะมองว่ามันไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่เป็นเพียงหลักการใช้ชีวิตที่โด่งดังมาจากหนังสือขายดี The Secret และ The Law of Attraction ที่ผู้เขียนได้เล่าถึงกฎแรงดึงดูดนี้โดยไม่ได้เป็นการอ้างอิงจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ทำให้ไอเดียของ manifestation ดูจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของจิตวิญญาณ หรือความเชื่อที่คิดว่าจิตใจ ร่างกาย และจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน หากจะพูดให้ตรงกับคำสอนแบบไทยๆ หน่อยก็อาจจะตรงกับประโยค “คิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น”

แต่หากเราจะมองให้ลึกลงไปว่าเบื้องหลังการทำ manifest สามารถมองในมุมจิตวิทยาได้ไหม ก็จะพบว่าจริงๆ มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้าง เพราะการที่เราวาดภาพในหัวว่าอะไรควรจะเกิดกับชีวิต มันสามารถส่งผ่านออกมาทางการกระทำ และความคิดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตที่ดี รวมถึงการมี well-being ที่ดีได้เหมือนกัน

“Manifestation เกี่ยวเนื่องกับการสร้างภาพในอนาคต ทุ่มเทพลังงานและความตั้งใจในการทำให้ภาพนั้นมันเกิดขึ้นจริง โดยทำให้ความคิด อารมณ์ และการกระทำของเราสอดคล้องไปทางเดียวกัน” ดร.เดนิส โฟร์เนียร์ (Denise Fournier) นักจิตบำบัดกล่าวกับ SELF เธอยังเสริมต่อว่า “กระบวนการนี้มันก็เหมือนกับการที่มุ่งหน้าทำบางสิ่ง เมื่อเราทำงานกับตัวเอง พยายามเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ของเรา หรือมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายส่วนตัว มันเกี่ยวข้องกับความตั้งใจ ความคิด และการกระทำโดยตรง”

นั่นหมายความว่าการที่ใคร manifest ก็ไม่ต่างอะไรจากการเซตความตั้งใจของเราไว้ตั้งแต่ทีแรกโดยเชื่อว่าเราจะทำมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเราเชื่ออะไรมากๆ เราก็มีแนวโน้มที่จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดอย่างไม่ย่อท้อ และไม่คิดลบกับตัวเองว่าคนอย่างฉันไม่เหมาะที่จะได้สิ่งนั้น หรือคนอย่างฉันไม่มีวันทำได้ เรื่องของการจัดการความคิดด้วยแง่มุมเชิงบวกมากๆ อย่าง manifestation จึงเป็นสิ่งที่มอบพลังให้กับสุขภาพจิตของใครหลายคนได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“เมื่อความรู้สึกมั่นคงของเรามันสั่นคลอน นั่นสามารถก่อให้เกิดความรู้สึกไร้พลังอำนาจ และถูกถาโถมอย่างหนัก เมื่อสิ่งต่างๆ ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคงและคาดเดาไม่ได้แบบนี้ มันก็สามารถสบายใจขึ้นได้เยอะถ้าเรา ‘เชื่อ’ ว่าเรามีพลังที่จะทำให้อะไรดีขึ้น หรือเป็นพลังที่บียอนด์เหนือการควบคุม เหนือความเข้าใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นพลังที่สูงส่ง หรือพลังงานอันลึกลับอื่นๆ ก็ตาม” ดร.โฟร์เนียร์ อธิบายเอาไว้ ซึ่งพอคิดว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เคียงข้างและคอยช่วยเหลืออยู่ หลายคนก็อาจจะมีกำลังแรงในการทำตามความตั้งใจ เพราะรู้ว่ามีบางสิ่งหนุนหลังอยู่ ความเชื่อแบบนี้จึงสามารถพัฒนาความมั่นใจ หรือทำให้เรากล้าขึ้นในหลายๆ เรื่องได้ และคงคล้ายๆ กับการที่เราดูดวง ที่หากหมอดูทักว่าดวงดี และสิ่งที่กำลังทำอยู่มันดีแล้ว เราก็คงจะลุยต่อด้วยความมั่นใจขึ้นนั่นแหละ

นอกจากนี้ manifestation ยังเชื่อมโยงกับเรื่อง Growth Mindset หรือความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนากันได้ และนั่นสามารถช่วยให้เราไม่หยุดทำตามฝันและบรรลุเป้าหมายนั้น โดยงานวิจัยของนักจิตวิทยาชื่อดัง แครอล ดเว็ค (Carol Dweck) ก็แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อของเราที่ว่าเราสามารถทำบางสิ่งได้ จะทำให้เรามีโอกาสทำมันได้สำเร็จจริงๆ ซึ่งตรงนี้อาจจะตรงกันข้ามกับการทำ manifest ในนิยามของบางคน ที่อาจคิดว่า แค่เชื่ออย่างเดียวก็อาจเกิดขึ้นได้จริง แต่จริงๆ ถ้าเรา manifest ไปด้วย และลงมือทำมันไปด้วย เราก็อาจจะมีแรงในการทำมันมากกว่าเดิมก็ได้นะ เหมือนให้ความเชื่อมั่นเป็นแรงขับในการกระทำบางสิ่ง หรือคิดแง่บวกบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้การ manifest ของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ชิกิ เดวิส (Tchiki Davis) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี well-being และเป็น psychological scientist ได้อธิบายลงบนเว็บไซต์ Psychology Today ว่ามีงานวิจัยที่โชว์ให้เห็นถึงความคาดหวังของเราทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มที่เราจะกระทำสิ่งใด เช่น ถ้าคุณไม่คิดว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จในเป้าหมายบางอย่างได้ สมมติพูดถึงเรื่องงานในฝันแล้ว คุณก็อาจจะทำตัวเหมือนคุณคิดว่าจะไม่ได้งานนั้น บางทีคุณอาจจะเย็นชา หรือบูดบึ้ง ระหว่างสัมภาษณ์งาน บางทีคุณอาจจะพูดถึงตัวเองในแง่ลบให้คนกับที่สามารถช่วยเหลือคุณได้ฟัง หรือบางทีคุณอาจจะรู้สึกโกรธ และไม่อยากใช้เวลาในการทำให้ถึงเป้าหมายนั้น เพราะคิดว่า “ยังไงก็ไม่ได้”

ดังนั้นคนที่คิดบวกกับตัวเองมากกว่า ก็มีโอกาสที่จะลงมือทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จมากกว่าคนที่มองแต่ความล้มเหลวของตัวเอง ในที่นี้ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ ที่คนหนึ่งอาจคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะมีแฟน ก็อาจพาตัวเองไปในที่ที่ตัวเองจะมีแฟน หรือพยายามใช้ชีวิตแบบ ‘ไม่รอ’ ให้แฟนเข้ามา ซึ่งก็ทำให้เขาไม่เสียสุขภาพจิต และคิดว่าเดี๋ยวก็มีแฟนแน่ๆ กลับกันถ้าเป็นคนที่รอคอยการมีคนเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อไม่เข้ามาสักที ก็อาจกล่าวโทษตัวเองได้ว่า เพราะตัวเองยังดีไม่พอให้ใครมารัก จนหลงลืมที่จะหาความสุขในชีวิต เพราะโฟกัสกับความทุกข์ตรงนี้มากไป และอาจลืมที่จะรักตัวเอง ซึ่งเรื่องของความรักถ้าเริ่มต้นจากการรักตัวเองก่อน ย่อมเฮลตี้กว่าอยู่แล้ว และส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิต หรือมั่นใจที่จะออกไปคุยกับใคร หรือทำอะไรสักอย่าง จนคนได้เห็นเสน่ห์ของความเป็นตัวเองในตัวคุณ (เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังตามหาความรัก ทุกคนคู่ควรกับการถูกรักนะ)

ตรงตามที่ ดร.ซอนยา ลูโบเมียร์สกี้ (Sonja Lyubomirsky) รองอธิบดีคณะจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย California Riverside กล่าวว่า การมีความสุขจะนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นคนที่มีความคิดบวกจะดึงดูดโอกาส และความสัมพันธ์ดีๆ เข้ามา อาจพูดได้ว่า ถ้าเราคิดบวกกับตัวเองตั้งแต่แรกว่าเราคู่ควรกับคนดีๆ เราก็จะเปิดรับเฉพาะคนดีๆ เข้ามา และหากคนนั้นมาหาเราช้า เราก็จะไม่ได้มากล่าวโทษตัวเองแต่อย่างไร แต่คิดบวกๆ ว่าเพราะจักรวาลแค่ยังไม่ส่งมาให้เฉยๆ นั่นทำให้การ manifest นั้นดีต่อใจใครหลายคน

ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพขึ้นอีกหน่อย ก็มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Basic and Applied Social Psychology ว่าด้วยเรื่องของนักกีฬาเทนนิสที่ใช้การสร้างภาพเป้าหมายของตัวเองออกมาให้เห็น เพื่อพัฒนาความสามารถของพวกเขา และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จมากกว่าตอนที่ไม่ได้ทำแบบนี้ manifest จึงเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เราได้สำรวจความต้องการของตัวเอง และมีส่วนที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ เพราะถ้าใจเราเชื่อ เราก็กล้าลงมือทำ และมองเห็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ

ทว่า manifestation อาจมีข้อกังวลอยู่บ้าง หากเรามองมันไปไกลกว่าพื้นฐานความเป็นจริง หรือสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และแน่นอน ความหวังแบบนี้ก็อาจวกกลับมาทำร้ายใจเราเอง ตามที่ ฮอว์ลัน อู๋ (Hawlan Ng) นักจิตบำบัดบอกกับ SELF ว่า ผู้คนอาจเชื่อมั่นในพลังนั้นว่าจะสามารถทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นได้จริง แต่ในความจริง คนเรามีอุปสรรคในเรื่องต่างๆ เช่น ความยากจน การถูกเลือกปฏิบัติ และความเป็นคนชายขอบ ซึ่งเมื่อเรา manifest แล้วมันไม่เกิดขึ้น ก็อาจนำไปสู่การโทษตัวเอง นำไปสู่ความวิตกกังวลและซึมเศร้าได้

“สิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับ manifesting หรือการฝึกฝนทางจิตใจ คือการทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถควบคุมหรือนำทางชีวิตของตัวเองได้ ถ้าเราพยายามหรือคิดเรื่องนี้หนักมากพอ ซึ่งบางคนที่เขารู้สึกว่าเขายังทำไม่มากพอ หรือทำไม่ดีพอ (เลยยังไม่เกิดสิ่งนั้น) จะคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ทำไมชีวิตยังต้องพบกับความผิดหวัง” อู๋ บอก

ความเป็นจริงแล้ว manifestation ควรจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีแรงใจในชีวิต แต่ถ้าเราสู้ไม่ไหวด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ตัวเราควบคุมไม่ได้ ก็อย่าได้กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเลย บางเรื่องเราก็ทำเต็มที่ได้ประมาณหนึ่ง และนั่นไม่ได้ทำให้คุณค่าในชีวิตของคุณลดน้อยลง ถ้าเราเหนื่อยกับการคิดบวก บางครั้งการปล่อยให้ตัวเองได้คิดในสิ่งที่คิดจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แล้วค่อยกลับมาคิดบวกกับตัวเองอีกครั้งก็ยังไม่สาย ส่วนใครอยากจะลอง manifest ตัวเองดู ลองหาข้อมูลเพิ่มเติม และทำดูก็ไม่เสียหายอะไรเหมือนกัน เพราะแง่มุมเฮลตี้ที่มีมากกว่าเรื่องกฎแรงดึงดูดของจักรวาลก็มีอยู่มาก ตามที่เราได้เล่าไป

อ้างอิง:

https://www.psychologytoday.com/us/blog/click-here-happiness/202009/what-is-manifestation-science-based-ways-manifest

https://www.self.com/story/does-manifesting-work 

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

Content Creator

Related Stories

Star Wars: Ahsoka ซีรีส์ภาคแยกของ Ahsoka Tano แกนนำสาวฝ่ายกบฏ และทีมงานพลังหญิง ที่เลือกแล้วว่าจะเดินออกนอกเส้นทางที่คนอื่นเคยปูไว้

culture

Star Wars: Ahsoka ซีรีส์ภาคแยกของ Ahsoka Tano แกนนำสาวฝ่ายกบฏ และทีมงานพลังหญิง ที่เลือกแล้วว่าจะเดินออกนอกเส้นทางที่คนอื่นเคยปูไว้

MIRROR'sGuide

ราคาสินค้าอาจแตกต่างตามช่วงเวลาและโปรโมชั่น
โปรดอ้างอิงจากราคาปลายทางของร้านค้าขณะสั่งซื้อ