ในอุตสาหกรรมแฟชั่นแห่งศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโมงยามนี้ ชื่อของ เบลลา ฮาดิด ย่อมไม่ห่างไกลจากความคุ้นเคยของผู้คนในแวดวงแฟชั่นนัก ค่าที่ว่าเธอคือหนึ่งในสิบของนางแบบที่ได้รับค่าตัวมากที่สุดในโลก ทั้งยังปรากฏตัวบนหน้าปกของนิตยสารหัวใหญ่ยักษ์ (ประมาณการกันว่าในระยะเวลาสี่ปี เธอขึ้นหน้าปกนิตยสารแฟชั่นชื่อก้องโลกอย่าง Vogue มาแล้ว 27 ครั้ง) และเป็นนางแบบขาประจำของแบรนด์ดังทั้งหลายไม่ว่าจะ Balmain, Chanel หรือ Philipp Plein ตลอดจนชีวิตส่วนตัวที่เป็นลูกสาวของ โยลันดา ฮาดิด อดีตนางแบบชาวดัตช์ ส่วนพี่สาวแท้ๆ ของเธออย่าง จีจี ฮาดิด ก็เป็นนางแบบที่ติดอันดับค่าตัวสูงที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน ชื่อเสียงของเบลลา ฮาดิด จึงไม่เคยห่างไกลไปจากการรับรู้ของผู้คนทั่วไปทั้งในฐานะนางแบบและในฐานะเซเลบริตี้ดัง
เบลลา ฮาดิด กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังที่เธอเปิดอกให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตที่ตกอยู่ท่ามกลางสายตาของคนทั้งโลก กับชีวิตส่วนตัวที่เธออยู่ในหล่มของภาวะการไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเองอย่างหนัก (Body Dysmorphic) ถึงขั้นที่เธอไม่กล้าส่องกระจกอยู่ระยะหนึ่งและยังส่งผลให้เธอต้องยกเลิกงานเดินแบบคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง 2021 เพื่อเข้ารักษาตัวในรัฐเทนเนสซี "ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ฉันเคยใช้แอปพลิเคชันนับแคลอรีอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน แล้วนั่นแหละร้ายกาจอย่างที่สุด มื้อกลางวันมีแค่ราสเบอร์รีสามลูกกับก้านผักชีอีกแท่งหนึ่ง" เธอเล่า "และทุกวันนี้ก็แทบไม่กล้าส่องกระจกเพราะสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีตนั่นแหละ"
"นานเหลือเกิน ที่ฉันไม่รู้ว่าเวลาที่ตัวเองร้องไห้นั้นเป็นเพราะกำลังเศร้าเรื่องไหน ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเสมอ (ที่เกิดในครอบครัวคนดัง เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ต่างๆ) แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะคนบนโลกออนไลน์บอกเสมอว่า ฉันน่ะมีชีวิตที่ดีที่สุดอยู่แล้ว จะมาบ่นอะไรนักหนา ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิ์มาบ่นอะไรเรื่องชีวิตตัวเอง ซึ่งนั่นก็แปลว่าฉันไม่มีสิทธิ์ไปรับความช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ด้วย และกลายเป็นว่านั่นละเป็นปัญหาแรกเลย"
"กับอินสตาแกรม โดยทั่วไปแล้วถ้ามีคอมเมนต์ดีๆ สักสิบคอมเมนต์ ก็จะเจอคอมเมนต์แย่ๆ สักหนึ่งคอมเมนต์โผล่มา”
“แล้วมันไม่เกี่ยวเลยว่าเพราะฉันเป็นผู้หญิงจึงรู้สึกแย่กับคอมเมนต์ใจร้ายหนึ่งคอมเมนต์นี้ มนุษย์ก็คือมนุษย์น่ะ ถ้ามีใครสักคนมาทำตัวใจร้ายกับคุณ เราคงไม่รู้สึกดีหรอก ไม่เกี่ยวกับว่าเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเลย"
อย่างไรก็ตาม ฮาดิดมักเป็นเป้าให้พูดถึงอยู่บ่อยๆ อันเนื่องมาจากบุคลิกกล้าชนของเธอ เธอเคยตั้งคำถามต่อสิทธิ์การไม่สวมชั้นในหรือเปลือยหัวนมอย่างตรงไปตรงมา "ก็นะ แม่ฉันเป็นชาวยุโรป แล้วครอบครัวฉันก็มาจากยุโรปทั้งหมด เราไม่ได้ขวยเขินอะไรต่อร่างกายตัวเองนี่นา ถ้าคุณไม่อยากเปิดเปลือยร่างกายของคุณก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ถ้ามีผู้หญิงสักคนอยากเปลือยท่อนบนล่ะ ฉันเอาใจช่วยคนเหล่านี้มากๆ เลยนะ
"อีกอย่าง ลองฉันเปลือยท่อนบนแล้วโพสต์ภาพลงไปตอนนี้สิ ที่โกรธน่ะไม่ใช่แม่ฉันหรอกนะ แต่เป็นอินสตาแกรมต่างหาก (อินสตาแกรมมีนโยบายห้ามไม่ให้โพสต์ภาพเปลือยท่อนบนของผู้หญิง -แต่ผู้ชายโพสต์ได้)" ฮาดิดบอก
แต่ที่ทำให้ฮาดิดกลายเป็นที่สนใจจากคนทั้งในและนอกแวดวงแฟชั่นคือเมื่อเธอออกมาพูดถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์เมื่อปี 2021 ภายหลังชาวปาเลสไตน์หลายคนต้องอพยพจากพื้นที่สงครามหลายพันชีวิต ฮาดิดซึ่งพ่อของเธอ -โมฮาเม็ด ฮาดิด- เป็นผู้อพยพจากปาเลสไตน์มาตั้งแต่ปี 1948 ก็โพสต์ข้อความสนับสนุนให้ปลดปล่อยปาเลสไตน์ให้เป็นอิสระ ท่ามกลางเสียงชื่นชมว่าเธอเป็นคนดังไม่กี่คนที่กล้าออกตัวแตะเรื่องการเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่อีกหลายคนก็มองว่าเธอช่างฉาบฉวยและไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร ซึ่งฮาดิดไม่เพียงแต่ยืนยันว่าการเมืองและความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจและออกความเห็นได้ เธอยังแสดงให้คนเหล่านั้นเห็นด้วยว่าเธอไม่เพียงแค่พูดถึงมันอย่าง 'ฉาบฉวย' เพราะนับตั้งแต่นั้น ฮาดิดก็โพสต์เกี่ยวกับความขัดแย้งประเด็นนี้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้หลายครั้งจะส่งผลให้เธอต้องมีปัญหากับอินสตาแกรมก็ตามที โดยฮาดิดอ้างว่าทุกครั้งที่เธอโพสต์ถึงความขัดแย้งในปาเลสไตน์ อินสตาแกรมจะทำให้คนมองเห็นโพสต์นั้นน้อยกว่าปกติอย่างผิดสังเกต
"ถ้าพวกคุณพยายามจะปิดปากฉันอย่างที่ทำกับสื่อมวลชน หรือใครก็ตามที่พยายามเป็นกระบอกเสียงให้ผู้คนเกี่ยวกับเรื่องของปาเลสไตน์ละก็ ฟังฉันไว้เลยนะอินสตาแกรม ฉันจะยังโพสต์เรื่องราวเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ" ฮาดิดบอก และยังวิพากษ์วิจารณ์สังคมอเมริกันที่เที่ยวแปะป้ายผู้คนด้วยสิ่งที่ไม่ได้เป็นอย่างดุเดือด
"ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาเรียกเราว่า 'ผู้ก่อการร้าย' หรอกนะ ตัวฉันเองถูกเรียกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแค่เพราะว่าเป็นคนปาเลสไตน์ เรายืนหยัดเคียงข้างผู้คน ยืนหยัดเคียงข้างสิ่งที่ถูกต้อง และเคียงข้างสิทธิมนุษยชน" เธอระบุ
แน่นอนว่าทุกครั้งที่เธอออกมาพูดเรื่องนี้ ฮาดิกมักถูกคอมเมนต์ออนไลน์ไล่ให้เธอกลับไป 'อยู่กับแวดวงแฟชั่นของหล่อนเถอะ' หรือไม่ก็ 'กลับไปโพสต์เกี่ยวกับเรื่องความสวยความงามเถอะน่ะ' ไปจนถึงเคลือบแฝงมาในนามของความหวังดี เป็นต้นว่า 'ฉันไม่อยากให้คุณโดนคนอื่นๆ มองไม่ดีเพราะพูดเรื่องการเมืองระหว่างประเทศนะ พอเถอะ' แต่ฮาดิดก็ยืนกรานจะพูดเรื่องนี้ต่อไปอย่างมั่นคง
"นี่ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ไม่ใช่เรื่องว่าฉันเกลียดใครหรืออะไรทั้งนั้นซึ่งฉันไม่ได้เกลียดหรอก แต่นี่มันเรื่องของความเป็นมนุษย์ต่างหากล่ะ"