รอบตัวเราน่าจะเจอทั้งคนที่ชอบถ่ายเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจและคนที่ไม่ชอบถ่ายเซลฟี่เอาเสียเลย ซึ่งแต่ละคนก็คงมีเหตุผลของตัวเอง คนที่ชอบก็อาจมองว่าเป็นการบันทึกช่วงเวลาดีๆ ของตัวเองเอาไว้ ส่วนคนไม่ชอบก็อาจรู้สึกว่ามันน่าอาย

ด้าน ดี-ร้าย ของการถ่ายเซลฟี่ ช่วยส่งเสริมความเป็นตัวเอง  หรือทำให้คนหมกมุ่นกับหน้าตา

รอบตัวเราน่าจะเจอทั้งคนที่ชอบถ่ายเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจและคนที่ไม่ชอบถ่ายเซลฟี่เอาเสียเลย ซึ่งแต่ละคนก็คงมีเหตุผลของตัวเอง คนที่ชอบก็อาจมองว่าเป็นการบันทึกช่วงเวลาดีๆ ของตัวเองเอาไว้ ส่วนคนไม่ชอบก็อาจรู้สึกว่ามันน่าอาย ไม่ก็ดูหลงตัวเองไปหน่อย ทีนี้เราลองมาดูกันว่ามีมุมมองอื่นๆ เกี่ยวกับการถ่ายเซลฟี่แบบไหนอีกบ้าง เอลิเซีย เอเลอร์ (Alicia Eler) นักเขียน-นักวิจารณ์ชาวอเมริกัน มองว่าการถ่ายเซลฟี่สามารถ empower ผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนผิวสี ผู้อพยพ LGBTQ+ และผู้หญิง โดยการเซลฟี่คือการถ่ายทอดภาพของตัวเองออกไปสู่สาธารณะโดยไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแตกต่างจากคนอื่นๆ จากที่ผ่านมาภาพของผู้คนที่จะส่งอิทธิพลต่อสังคมได้มักจะเป็นภาพที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อเท่านั้น แต่การถ่ายเซลฟี่จากคนทั่วโลกได้ทำให้คนมองเห็นความหลากหลาย และให้การยอมรับมากขึ้น.ขณะที่เอริน กลอเรียน ไรอัน (Erin Gloria Ryan) นักเขียนชาวอเมริกันอีกคนเห็นต่าง เธอมองว่าการถ่ายเซลฟี่ไม่ได้ empower ใครใดๆ เลย แต่คือการตอกย้ำให้คนมองเห็นแต่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง และยิ่งคนเซลฟี่กันมากเท่าไร มันก็เป็นภาพสะท้อนของสังคมบิดๆ เบี้ยวๆ ที่สอนให้ผู้หญิงมองตัวเองเป็นของสวยๆ งามๆ เท่านั้น ซึ่งบทความชิ้นนี้ได้สร้างบทสนทนาต่ออีกล้นหลามในทวิตเตอร์ ผ่านแฮชแท็ก #Selfies ที่ลุกเป็นไฟในปี 2013 ซึ่งเป็นปีที่คำว่า เซลฟี่ ได้ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมของอ๊อกซ์ฟอร์ดเป็นครั้งแรก&nbsp;.บทสนทนาในปี 2013 จบลงไป แต่คนยังคงศึกษาและมีความเห็นเกี่ยวกับการเซลฟี่อยู่เรื่อยๆ อย่างเช่นเพ็กกี้ ฟีแลน (Peggy Phelan) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่มองว่าการถ่ายเซลฟี่ช่วยให้เราค้นหาคำตอบให้ตัวเองได้ เช่น ตัวตนเราคือใคร ตัวต้นที่แท้จริงเรามีกี่แบบกันแน่ ผ่านการสำรวจสีหน้าท่าทางของตัวเองขณะถ่ายภาพ หรือการค้นหาว่าสิ่งที่เราอยากสื่อสารกับคนอื่นๆ คืออะไร แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม&nbsp;.ขณะที่อีกด้านหนึ่ง วัฒนธรรมการถ่ายเซลฟี่ยังส่งผลต่อความพึงพอใจในตัวเองด้วย ในยุคที่ฟิลเตอร์ครองเมือง แผนกผิวหนังของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยบอสตัน เปิดเผยว่ามีคนจำนวนมากเข้ามาหาหมอศัลยกรรม เพื่อทำริมฝีปากให้อวบอิ่ม ตาโต จมูกที่เล็กลง เพราะเห็นฟิลเตอร์ภาพหน้าตัวเองจากแอปพลิเคชันและอยากมีหน้าตาเหมือนภาพที่เห็น รวมถึงเกิดความไม่มั่นใจเมื่อถูกคนคอมเมนต์เกี่ยวกับหน้าตาตัวเอง&nbsp;.แล้วคุณล่ะชอบเซลฟี่หรือไม่ชอบมันเลยเพราะอะไรกันบ้าง?.อ้างอิง:&nbsp;https://www.bbc.com/culture/article/20180112-why-selfies-can-be-a-force-for-social-good&nbsp; https://jezebel.com/selfies-arent-empowering-theyre-a-cry-for-help-1468965365 &nbsp; https://thriveglobal.com/stories/the-good-and-the-bad-behind-selfie-culture/&nbsp;

Maschinenmensch หรือ machine human เกิดจากความตั้งใจของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Thierry Mugler ที่อยากทำการคารวะคาแรกเตอร์โรบ็อตสาวจากนิยายดิสโทเปียนอย่าง Metropolis (1925) ของ Thea Von Harbou ซึ่งถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์โดย Fritz Lang ในปี 1927 โดยตอนแรกนั้น มูแกลร์แค่อยากทำบราจากโลหะหลังจากได้ดูหนัง Metropolis แต่ไปๆ มาๆ คล้ายจะยิ่งทำยิ่งสนุก มันได้กลายเป็นชุดบอดี้สูทเต็มตัวที่ใช้เวลาทำมือถึง 6 เดือนเต็ม

Maschinenmensch ชุดเฟมบ็อตโอต์กูตูร์จาก Mugler ที่เล่นกับความเป็น sex object แต่กลับทำให้ผู้หญิงรู้สึกถึงอำนาจและการเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง

Skims แบรนด์เชปแวร์และชุดชั้นในจากคนดังอย่าง Kim Kadashian มีโปรดักต์ที่น่าจดจำที่สุดคือ ‘บราหัวนม’ ซึ่งทางแบรนด์ตั้งใจจะลบความน่าอับอายออกไปจากหัวนมผู้หญิง แต่ด้วยการให้ความรู้สึกถึงการมีหัวนมนี่เอง ทำให้มันบังเอิญไปตอบโจทย์ผู้หญิงที่ผ่าตัดจากการเป็นมะเร็งเต้านมด้วย และในปีนี้ ทางแบรนด์ก็ได้เน้นย้ำจุดยืนนี้ด้วยการดึงเอา Olivia Munn มาร่วมแคมเปญด้วยกัน

Skims ไปต่อกับจุดยืนเรื่อง ‘มะเร็งเต้านม’ โดยชวน Olivia Munn นักแสดงสาวผู้เคยผ่านการผ่าตัด มาสวมบราหัวนมและเผยรอยแผลเป็น


ใครจะไปคิดฝันว่าวันหนึ่งเราจะได้เห็นคนจริงๆ มาสวมเสื้อผ้าเดินโชว์ในร้านเสื้อผ้าแทนหุ่น แม้ที่ผ่านมามีหลายงานที่มนุษย์กำลังถูกแทนที่ด้วยเอไอหรือหุ่นยนต์ แต่คราวนี้ หุ่นนั่นแหละที่กำลังจะถูกแทนที่ด้วยมนุษย์

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Beauty

ด้าน ดี-ร้าย ของการถ่ายเซลฟี่ ช่วยส่งเสริมความเป็นตัวเอง หรือทำให้คนหมกมุ่นกับหน้าตา

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

KIMBEEL

RELATED

HOT TOPICS