หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็อาจส่งผลให้ความขัดแย้งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น จึงอยากชวนมารู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการสื่อสารอย่างสันติ เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คำพูดทำร้ายกันและกัน

บอกความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง แทนการกล่าวโทษ ตำหนิ หรือโจมตีอีกฝ่าย ชวนรู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ เพื่อลดความขัดแย้งในความสัมพันธ์

หลายครั้งที่ถ้อยคำรุนแรงจากคนรอบข้างได้กลายเป็นปมฝังใจ ซึ่งความเจ็บปวดนั้นอาจไม่เคยจางหายไปเสียที แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจจากพ่อแม่และครอบครัวในวัยเด็ก คำพูดจากคุณครูที่บั่นทอนความมั่นใจ คำพูดจากเพื่อนที่สร้างกำแพงในใจ หรือคำพูดจากคนรักที่ทำให้ปัญหาเล็กน้อยบานปลายจนทะเลาะกันใหญ่โตไม่จบไม่สิ้น ขณะที่ตัวเราเองก็อาจจะเคยเผลอสร้างบาดแผลทางใจให้แก่คนอื่นผ่านคำพูดโดยไม่รู้ตัวเช่นกันการเผชิญสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือปัญหาความขัดแย้งถือเป็นเรื่องปกติในความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่แตกต่างในแต่ละบุคคลคือ ‘การรับมือต่อสิ่งที่เกิดขึ้น’ โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า “ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ: Emotional Intelligence) คือความสามารถในการตระหนักรู้ และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก ทั้งของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการจัดการและการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง ส่งผลต่อความสำเร็จในการปรับตัว”หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็อาจส่งผลให้ความขัดแย้งทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนสามารถนำไปสู่รอยร้าวในความสัมพันธ์ และส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพทางใจในระยะยาว ครั้งนี้จึงอยากชวนมารู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการสื่อสารอย่างสันติ เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คำพูดทำร้ายกันและกันแนวคิดการสื่อสารแบบ I Message เผยแพร่โดยนักจิตวิทยาอย่าง Dr. Haim Ginott ซึ่งคือการสื่อสารที่โฟกัสความต้องการ มุมมองความคิด ความรู้สึกของตนเองโดยตรง พร้อมหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษ ตำหนิ และต่อว่าผู้ฟัง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกวิจารณ์หรือถูกโจมตี เช่น กรณีทะเลาะกับแฟน เพราะแฟนเล่นเกมเป็นเวลานานบ่อยครั้ง แทนที่จะพูดว่า “เธอมันไม่เอาไหน วันๆ เล่นแต่เกม จะคบกันไปทำไม” เปลี่ยนไปใช้คำพูดว่า “ฉันรู้สึกเสียใจที่เราทั้งคู่ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณภาพ (Quality time) เธอสามารถแบ่งเวลาในการเล่นเกมได้ไหม?”หรือในกรณีพ่อแม่ทะเลาะกับลูกเรื่องการเรียน อาจเปลี่ยนจากการบอกว่า “ทำไมไม่ตั้งใจเรียนบ้างเลย ดูลูกคนอื่นสิได้เกรดดีๆ ตลอด” มาเป็นการพูดแบบ I Message ว่า “พ่อแม่เป็นห่วงลูก จึงอยากให้ลูกตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีของตัวเองในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว” การใช้คำพูดเช่นนี้กับเด็ก จะส่งผลให้เด็กสามารถเข้าใจเหตุและผลมากขึ้น ช่วยส่งเสริมทักษะการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลที่ดี ซึ่งทักษะการสื่อสารเหล่านี้เองยังเกี่ยวเนื่องกับความฉลาดทางอารมณ์ และการรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ เมื่อโตขึ้นด้วยหัวใจของการสื่อสารแบบ I Message คืออาจช่วยให้ผู้พูดรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง และไม่โยนความผิดไปที่อีกฝ่าย ซึ่งทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างเฮลธ์ตี้ &nbsp;และเข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงลดโอกาสในการปะทะหรือทะเลาะกัน โดย Foundations เว็บไซต์ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตชั้นนำของ Northern Colorado กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานของ I Message ที่ดีประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ความรู้สึกของเราเกี่ยวกับพฤติกรรมนั้น คำอธิบายของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และผลกระทบของพฤติกรรมนั้นที่มีต่อเรา ตัวอย่างการเรียงประโยคง่ายๆ คือ “ฉันรู้สึก (ใส่อารมณ์ของคุณ) เมื่อคุณ (อธิบายพฤติกรรม) เพราะว่า (ผลกระทบที่เกิดขึ้น)”อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังไม่ให้คำพูดกลายเป็นการกล่าวโทษอีกฝ่าย แม้จะใช้โครงสร้างแบบ I Message ก็ตาม เช่น “ฉันรู้สึกไม่ดีที่เธอสนใจแต่ตัวเอง ไม่เคยสนใจความรู้สึกของฉันเลย” ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็น I Message แต่อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกถูกตำหนิได้เช่นกันนอกจากนี้ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยังจำเป็นต้องมาจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ทั้งคู่จึงควรใช้วิธีการสื่อสารแบบ I Messages ร่วมกัน เพื่อสื่อสารปัญหาให้ตรงจุด ลดความขัดแย้งระหว่างกัน รวมถึงตระหนักรู้ความรู้สึกของตัวเอง และเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายอย่างแท้จริงอ้างอิง<a href="https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/emotional-intelligence/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/emotional-intelligence/</a>&nbsp;<a href="https://www.rama.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/06232017-1105" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.rama.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/06232017-1105</a>&nbsp;<a href="https://www.foundationscounselingllc.com/about-foundations/who-we-are" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.foundationscounselingllc.com/about-foundations/who-we-are</a>&nbsp;<a href="https://www.goodtherapy.org/blog/psychpedia/i-message" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.goodtherapy.org/blog/psychpedia/i-message</a>&nbsp;<a href="https://www.psychologytoday.com/us/blog/ambigamy/201402/i-messages-how-they-help-and-hurt" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/us/blog/ambigamy/201402/i-messages-how-they-help-and-hurt</a>&nbsp;

การกดไลก์รูปผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว นับเป็นปัญหาความสัมพันธ์ที่ถูกนำมาถกเถียงบ่อยครั้งในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีความคิดเห็นเกิดขึ้นหลากหลายมุมมอง ครั้งนี้เราจึงชวนผู้หญิง 3 คนที่คบหากับแฟนเป็นระยะเวลานานมาพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าวว่า ทำไมผู้หญิงหลายคนจึงไม่พอใจที่แฟนทำแบบนี้ เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ รวมถึงพวกเธอแก้ไขปัญหานี้อย่างไร โดยที่ยังรักษาทั้งชีวิตคู่และสภาพจิตใจของตัวเองไปพร้อมกัน

กดไลก์รูปผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว ถือเป็น Red Flag ในความสัมพันธ์ไหม ? มองปัญหาชีวิตคู่ให้ลึกกว่าแค่ความหึงหวง เพราะต่อให้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เกี่ยวกับความมั่นใจ ความไว้ใจ และการให้เกียรติกัน

ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งคำถามที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ นั่นคือ “คุณมี Attachment Style แบบไหน?” เพราะคำตอบที่ได้จากคำถามนี้อาจเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบบใดในความสัมพันธ์ แต่ยังทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในความสัมพันธ์นั้นๆ ด้วย

“คุณมี Attachment Style แบบไหน?” ทำความรู้จัก ‘4 รูปแบบความผูกพัน’ ที่ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเอง และเข้าใจอีกฝ่าย เพื่อดูแลความสัมพันธ์ให้ดียิ่งกว่าเดิม

อาจเป็นคำถามในใจของใครหลายคนเมื่อเห็นดีว่าตัวแม่อยู่บนเวที ไม่ว่าจะเป็น Beyonce ที่มี Sasha Fiece เป็นสาวแซ่บบนเวที, Adele ที่มี Sasha Carter โดยหยิบ Sasha ของ Beyonce มาผสมกับนักร้องคันทรี่อย่าง Jane Carter ช่วยเพิ่มความมั่นใจขณะร้องเพลง หรือ Lisa ที่มีอัตตาตัวตนมากถึง 5 คน ที่พกพลังความเฟียซมาแบบเต็มเปี่ยมในหลายสไตล์ สาวๆ เหล่านี้มีอาวุธในการแสดงความมั่นใจที่เหมือนกัน นั่นก็คือ ‘Alter Ego’ หรือ อีก ‘ตัวตนหนึ่ง’ นั่นเอง

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

จุฬาลักษณ์ เดชะ

RELATED

HOT TOPICS