ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งคำถามที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ นั่นคือ “คุณมี Attachment Style แบบไหน?” เพราะคำตอบที่ได้จากคำถามนี้อาจเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบบใดในความสัมพันธ์ แต่ยังทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในความสัมพันธ์นั้นๆ ด้วย

“คุณมี Attachment Style แบบไหน?” ทำความรู้จัก ‘4 รูปแบบความผูกพัน’ ที่ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเอง และเข้าใจอีกฝ่าย เพื่อดูแลความสัมพันธ์ให้ดียิ่งกว่าเดิม

แบบทดสอบบุคลิกภาพ MBTI ได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลีใต้ จนกลายเป็นคำถามยอดฮิตในการเริ่มทำความรู้จักกับใครสักคน ไม่ต่างจากที่สังคมไทยเคยนิยมการแบ่งลักษณะนิสัยตามกรุ๊ปเลือดในอดีต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งคำถามที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ นั่นคือ&nbsp;“คุณมี Attachment Style แบบไหน?” เพราะคำตอบที่ได้จากคำถามนี้อาจเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบบใดในความสัมพันธ์ แต่ยังทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในความสัมพันธ์นั้นๆ ด้วย‘Attachment Style’ หรือ ‘รูปแบบความผูกพัน’ เป็นแนวคิดทางทฤษฎีจิตวิทยาของ John Bowlby และ Mary Ainsworth ที่อธิบายไว้ว่า คนเรามีลักษณะการตอบสนองต่อบุคคลที่ผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท ได้แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ โดย Attachment Style แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ &nbsp;Secure Attachment, Anxious Preoccupied, Dismissing Avoidant และ Fearful Avoidantลักษณะเหล่านี้เป็นผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กอย่าง ‘ความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู’ เช่น พ่อแม่ และผู้ปกครอง เป็นต้น โดย Mary Ainsworth (1978) ได้ทำการทดลองให้ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน พร้อมกับให้ผู้เลี้ยงดูแยกตัวออกไป ก่อนจะกลับมาใหม่อีกครั้ง เพื่อสังเกตพฤติกรรมของทารกที่เกิดขึ้นคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า “เรื่องรูปแบบความผูกพันของทารกและผู้เลี้ยงดูในวัยเด็กนั้น Bowlby (1973) ได้เสนอว่า การตอบสนองของผู้เลี้ยงดูต่อเด็กจะไปพัฒนาความคาดหวังของเด็กต่อบุคคลที่เด็กผูกพันด้วย ซึ่งความคาดหวังนั้นจะค่อยๆ พัฒนามาตลอดตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี และจะกลายเป็นความคาดหวังต่อบุคคลที่ผูกพันด้วยอย่างคงทนไปตลอดชีวิต กล่าวคือความผูกพันระหว่างเด็กและผู้เลี้ยงดูนั้นมีผลกระทบไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ในความสัมพันธ์เชิงคู่รักนั่นเอง”เมื่อรูปแบบความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นในวัยเด็ก สามารถส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่ ทั้งในแง่ของความใกล้ชิด ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นคงทางอารมณ์ การมองเห็นคุณค่าในตนเองและคนอื่น รวมถึงระดับความพึงพอใจในความสัมพันธ์โดยรวมดังนั้น การย้อนกลับมาทบทวนว่า ตัวเราและคนรอบข้างมีรูปแบบความผูกพัน (Attachment Style) แบบใด จะช่วยให้เราสามารถรู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง เข้าใจอีกฝ่าย และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยไม่เผลอทำร้ายจิตใจของกันและกัน เพราะรูปแบบความผูกพันที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลให้แต่ละคนมีวิธีแสดงความรัก ความคาดหวัง และการตอบสนองต่อความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน<h3>Secure Attachment</h3>ความผูกพันแบบมั่นคง (Secure Attachment) คือรูปแบบความผูกพันของคนที่มักได้รับการตอบสนองทางอารมณ์อย่างเหมาะสมตั้งแต่เด็ก โดยพวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยและสามารถปลอบโยนตัวเองได้ แม้ผู้เลี้ยงดูไม่อยู่ เมื่อเติบโตขึ้น คนกลุ่มนี้จึงมองเห็นคุณค่าในตัวเอง พร้อมทั้งเปิดใจรับการสนับสนุนจากคนอื่น ซึ่งถือเป็นการมองตัวเองและผู้อื่นในเชิงบวก นอกจากนี้ยังกล้าแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา สื่อสารได้ดี เปิดรับคำวิจารณ์ และมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดเว็บไซต์ Psychology Today กล่าวว่า คนที่มีรูปแบบความสัมพันธ์มั่นคง มักจะมีความสัมพันธ์ที่ซื่อสัตย์ เปิดเผย และเท่าเทียมกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปด้วยกันได้ หากต้องพบเจอกับความขัดแย้งในความสัมพันธ์ คนกลุ่มนี้จะมีความฉลาดทางอารมณ์สูง ทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย<h3>Anxious Preoccupied</h3>ความผูกพันแบบวิตกกังวล (Anxious Attachment) คือรูปแบบความผูกพันของคนที่มักรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ เนื่องจากในวัยเด็กเคยเผชิญกับการจากลา หรือการตอบสนองทางอารมณ์ที่ไม่สม่ำเสมอจากผู้เลี้ยงดู หากกล่าวในแง่ของการทดลองคือ เมื่อผู้เลี้ยงดูกลับมา พวกเขาจำเป็นต้องปรับตัวใหม่ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจากไปอีกครั้งเมื่อเติบโตขึ้น คนกลุ่มนี้จึงมองตัวเองในแง่ลบ และต้องการการยืนยันคุณค่าจากผู้อื่นอยู่เสมอ นำไปสู่ความรู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวการถูกทอดทิ้ง ยึดติดกับคนใกล้ชิด รวมถึงมักวิเคราะห์สถานการณ์มากเกินไป เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าคนรักถอยห่างหรือไม่ตอบสนองตามที่หวัง พวกเขาจะเกิดความวิตกกังวล เศร้า หดหู่ หรืออารมณ์แปรปรวนได้ง่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในตนเองที่ต่ำ และปัญหาการมองเห็นคุณค่าในตัวเองนอกจากนี้ Psychology Today ยังระบุว่า คนเหล่านี้มักจะมองความรักในแง่ดีเกินไป เพราะการสร้างความสัมพันธ์แบบเพ้อฝันนั้นง่ายกว่าการอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ทำให้มักจะถูกดึงดูดโดยคนที่พวกเขาสามารถดูแลได้ หรือคนที่สามารถดูแลพวกเขาได้<h3>Dismissing Avoidant</h3>ความผูกพันแบบหลีกเลี่ยง (Avoidant Attachment) คือรูปแบบความผูกพันของคนที่เรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่าไม่ควรหวังพึ่งพาผู้อื่น เพราะผู้เลี้ยงดูไม่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้เมื่อโตขึ้น คนกลุ่มนี้มักให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระมากกว่าความใกล้ชิด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการพึ่งพาหรือผูกพันกับผู้อื่นคนกลุ่มนี้มักมองตัวเองในเชิงบวก แต่มองผู้อื่นในเชิงลบ ทำให้เลือกปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และอาจรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องใกล้ชิดกับใครมากเกินไป บางครั้งอาจมีความสับสนระหว่าง ‘การต้องการความรัก’ กับ ‘ความกลัวการผูกมัด’ พวกเขาจึงมักเว้นระยะห่างทางกายภาพ หรือหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ลึกซึ้ง เพื่อรักษาพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองโดย Psychology Today ระบุว่า คนกลุ่ม Dismissing Avoidant มักจะห่างเหินทางอารมณ์ เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ พวกเขาดูเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ รักอิสระ หลีกเลี่ยงความใกล้ชิด และไม่ต้องการแสดงความเปราะบางต่อคนรัก หากอีกฝ่ายขู่ว่าจะจากไป พวกเขาก็สามารถเก็บกดอารมณ์ไว้ภายใน และแสร้งทำเป็นไม่สนใจได้เช่นกัน<h3>Fearful Avoidant</h3>ความผูกพันแบบหวาดกลัว (Fearful Avoidant) หรือ ความผูกพันแบบไม่เป็นระเบียบ (Disorganised Attachment) มักเกิดจากการเลี้ยงดูที่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมหวาดกลัวหรือก้าวร้าว เมื่อคนที่ควรให้ความปลอดภัยกลับเป็นต้นตอของความไม่มั่นคง ส่งผลให้เมื่อโตขึ้น คนกลุ่มนี้จึงต้องการความใกล้ชิด ขณะที่ก็กลัวการผูกพันไปพร้อมกัน รวมถึงมักรู้สึกสับสนกับอารมณ์ของตัวเองอยู่เสมออาทิ พวกเขามักต้องการความสัมพันธ์ที่ดูไกลเกินเอื้อม แต่เมื่อได้มาแล้วกลับพยายามถอยหนี เช่นเดียวกับด้านอื่นๆ ในชีวิต อย่างเรื่องความสำเร็จ แม้จะทำงานอย่างหนักจนได้รับผลลัพธ์ที่ดี แต่กลับยังไม่รู้สึกพึงพอใจ และมองเห็นเพียงข้อบกพร่องของตัวเองขณะที่ Psychology Today ชี้ว่า คนกลุ่ม Fearful Avoidant มักจะกลัวการใกล้ชิดหรือห่างเหินจากคนรักมากเกินไป ทำให้พวกเขาเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก และมักถูกครอบงำด้วยอารมณ์ อีกทั้งยังอาจกลัวการถูกทอดทิ้ง มีปัญหาเรื่องความมั่นใจในตัวอีกฝ่ายหรือการพึ่งพาคนรัก รวมถึงมักเผชิญกับความขัดแย้งภายในใจตัวเองระหว่าง ‘ความต้องการความใกล้ชิด’ กับ ‘การต่อต้านผู้อื่น’ ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้จึงมักมีทั้งช่วงที่ดีและแย่สลับกันไปอ้างอิง<a href="https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/attachment-style/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/attachment-style/</a>&nbsp;<a href="https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-upside-things/202105/how-different-attachment-styles-affect-relationships" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-upside-things/202105/how-different-attachment-styles-affect-relationships</a>&nbsp;<a href="https://www.psychologytoday.com/us/basics/attachment" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/us/basics/attachment</a>&nbsp;<a href="https://www.bbc.com/thai/articles/cr7e3dn21xno" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bbc.com/thai/articles/cr7e3dn21xno</a>&nbsp;<a href="https://attachment.personaldevelopmentschool.com/quiz" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://attachment.personaldevelopmentschool.com/quiz</a>&nbsp;

Harry Borden ช่างภาพสารคดี-พอร์ตเทรตชาวอังกฤษผู้ทำงานถ่ายภาพบรรดาคนดังทั่วโลกมาแล้วมากมาย แต่ ‘Single Dad’ คือผลงานซีรีส์ภาพถ่ายครั้งแรกที่เขาตั้งใจจะเล่าเรื่องราวธรรมดาๆ ของคนธรรมดาผ่านประสบกาณ์ของการเป็น ‘พ่อเลี้ยงเดี่ยว’ 

‘Single Dad’ ซีรีส์ภาพถ่ายจากช่างภาพ Harry Borden ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตผู้ชาย 48 คน ในมุมเข้มเเข็งและเปราะบางของการเป็น ‘พ่อเลี้ยงเดี่ยว’ 

ทุกวันนี้ความเครียดกลายเป็นหนึ่งในความปกติของคนยุคนี้ไปแล้ว และเป็นปัจจัยที่ยากจะหลีกเลี่ยง เช่นเดียวกับแพ็กเกจที่พ่วงมาด้วยกับความเครียดหากมันสะสมอยู่ในตัวเรามากเกินไปเป็นเวลานานๆ นั่นคือภาวะอ่อนล้าทางอารมณ์และร่างกาย (Emotional Exhaustion) ซึ่งเป็นเสตทหนึ่งของอาการเบิร์นเอาต์

ชวนฟังสัญญาณเตือนของความอ่อนล้า 
เมื่อร่างกายตะโกนว่า ‘ไม่ไหวแล้ว!’

กรณี พระเอกซีรีส์วายชื่อดังถูกเปิดโปงพฤติกรรมเรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยกับผู้หญิงหลายต่อหลายคน สะท้อนการขาดความรู้และยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธี ‘ป้องกันอย่างถูกต้อง’

ยาคุมรายเดือน/ฉุกเฉินควรกินอย่างไร 
ฝ่ายชายควรช่วยจ่ายไหม? และทำไมยังไงก็ควรใช้ถุงยางในวันที่วัยรุ่นบางส่วนดื้อดึงที่จะ ‘สด’ เรื่องเพศศึกษาน่าทบทวน จากกรณีนักแสดงซีรีส์วายโดนแหก

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

จุฬาลักษณ์ เดชะ

RELATED

HOT TOPICS