วิธีรับมือกับคำวิจารณ์ที่อาจทำให้เราเก่งขึ้น

ความคิดเห็นเชิงลบ บางทีก็มีคุณค่า

ในโลกที่สังคมเป็นตัวขับเคลื่อนตัวตนของเรา ต้องยอมรับว่าทุกครั้งที่เอาตัวเองออกสู่สายตาของสาธารณะ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับความคิดเห็นเชิงลบที่อาจจะทำให้เราสูญเสียความมั่นใจและลดทอนคุณค่าในตัวเองโดยไม่รู้ตัว&nbsp;ถ้ามาทบทวนกันจริงๆ แล้ว เราทุกคนต้องพบกับความคิดเห็นเชิงลบมาก่อนที่จะเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกโซเชียลเสียอีกไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว คนรอบตัว เพื่อน หรือแม้กระทั่งคนรัก ความแตกต่างก็คือความคิดเห็นเชิงลบจากคนใกล้ตัวอาจจะมาจากความหวังดีและไม่ได้ตั้งใจให้เราเจ็บปวด แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ เรามีความกลัวหนึ่งอย่างที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน นั่นคือความกลัวการตัดสินจากเพื่อมนุษย์ด้วยกันเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายๆ คนจะรู้สึกได้รับผลกระทบจากความคิดเห็นเชิงลบได้มาก โดยเฉพาะกับความคิดเห็นที่เรารู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ว่าความคิดเห็นเชิงลบที่เราได้ยินจะบั่นทอนจิตใจของเราโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจก็ตาม อีกมุมหนึ่งของการได้รับความคิดเห็นเชิงลบเหล่านี้ คือการช่วยให้เราพัฒนาตัวเองในทางที่ดีมากขึ้น พูดง่ายๆ ว่าเราสามารถใช้ความคิดเห็นเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวันใครที่กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ ให้บอกตัวเองไว้ว่าเราไม่ได้เผชิญกับเรื่องนี้คนเดียวและเราจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากเรื่องนี้ ที่สำคัญคำวิจารณ์จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเก่งขึ้น ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มตรงไหนลองใช้วิธีเหล่านี้ดู รับรองว่าจะช่วยเปลี่ยนคำวิจาร์ณเชิงลบให้เป็นพลังของความมั่นใจอย่างแน่นอนเลือกที่วิธีรับมือกับคำวิจารณ์คำวิจารณ์เป็นเรื่องของคนอื่น เป็นความคิดเห็นของคนอื่น แต่การเลือกที่จะรับมือเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเอง หมายความว่าเราทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกที่จะรับมือในแบบของเรา การรับมือด้วยอารมณ์มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะฉะนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้โฟกัสไปที่การรับมือด้วยการใช้สมองและความคิดคิดวิเคราะห์ ว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นเป็นคำวิจารณ์ที่ก่อให้เกิดผลเชิงบวกหรือลบกับตัวเรา เป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นเพียงความคิดเห็นของคนที่วิจารณ์ เมื่อเราสามารถแยกอารมณ์กับคำวิจารณ์ออกไปได้ เราจะสามารถทำความเข้าใจกับคำวิจารณ์เหล่านั้นได้มากขึ้น พูดง่ายๆ ว่าแทนที่จะโกรธ (เพราะไม่ได้เป็นแบบคำวิจารณ์นั้น) หรือรู้สึกแย่ (เพราะสิ่งที่เขาพูดก็มีส่วนจริง) ให้ใช้สติในการรับมือกับคำวิจารณ์ อย่างน้อยก็ถือเป็นการบริหารอารมณ์ของตัวเองให้ไปอ่อนไหวไปกับคำพูดของคนอื่น ซึ่งจะส่งผลที่ดีกว่าการรับมือด้วยอารมณ์<img src="https://media.thairath.co.th/image/Xi6ry1af9fnqAmiGnnZ178Lke8j2Bs0ZW2xuFt3dxxge9vA1.jpeg" data-id="100029" data-url="https://media.thairath.co.th/image/Xi6ry1af9fnqAmiGnnZ178Lke8j2Bs0ZW2xuFt3dxxge9vA1.jpeg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">ออกไปมองในมุมของบุคคลที่ 3ถ้ารู้สึกว่าคำวิจารณ์เชิงลบที่ได้รับรู้มานั้น ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกจนไม่สามารถตัดออกไปจากใจได้ ให้ลองใช้วิธีมองเข้าไปในมุมของบุคคลที่ 3 หรือคนนอกดูบ้าง เพื่อที่จะตัดเอาคำวิจารณ์ที่เราได้ยินและคำวิจารณ์ในหัวของเราเองออกไปก่อน ที่ปรึกษาทางจิตวิทยาหลายๆ คนมักจะแนะนำในข้อนี้เพราะจะทำให้เรามองคำวิจารณ์เหล่านั้นตามความเป็นจริงมากขึ้น ลองลิสต์ออกมาเป็นหัวข้อดูว่า คำวิจารณ์เหล่านั้นกำลังส่งผลอะไรกับความรู้สึกและชีวิตของเราบ้าง และเราจะสามารถมองคำวิจารณ์นั้นในมุมอื่น ๆ มุมไหนได้อีก การลิสต์ออกมาจะทำให้เราเห็นภาพในมุมที่กว้างขึ้น และช่วยสะท้อนความคิดของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้นอีกด้วยฝึกมองคำวิจารณ์นั้นในมุมอื่นๆและใช้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราก้าวผ่านคำวิจารณ์เชิงลบได้ง่ายขึ้นคือการมองมุมใหม่ เพราะส่วนใหญ่แล้ว คำวิจารณ์เกิดจากการตีความจากประสบการณ์ส่วนตัวทั้งของเราและผู้วิจารณ์ การฝึกมองในมุมอื่น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reframe คือการทบทวนว่าเราสามารถตีความคำวิจารณ์นั้นในแง่มุมที่มีประโยชน์กับเราได้หรือไม่ และถ้าได้เราจะตีความหมายไปในทางใดที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น การฝึกทำในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างออกไปแล้ว ยังช่วยให้เราตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปิดให้เรามีโอกาสในชีวิตมากขึ้นด้วยสุดท้ายอย่าลืมย้ำกับตัวเองในทุกๆ วันว่าอย่าเก็ยเสียงวิจารณ์ใดๆ ไว้กับตัวเองเกินหนึ่งวันเพราะนั่นถือเป็นการบั่นทอนจิตใจโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญอย่าให้เสียงวิจารณ์ของใครดังกว่าเสียงของตัวเรา &nbsp;มากไปกว่านั้นอย่าลืมปิดเสียงวิจารณ์ตัวเองในหัวเราลงด้วย เพราะสุดท้ายไม่ว่าเสียงใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้เท่าเสียงของตัวเราเอง การเปลี่ยนเสียงวิจารณ์ในหัวการให้กำลังใจเชิงบวกจะช่วยให้เราไปต่ออย่างแข็งแรงและมั่นคงมากขึ้นในที่สุด

แทบทุกครั้งเวลาได้ยินข่าวคราวของบรรดาคนดัง ไม่ว่าจะศิลปิน นักดนตรี นักแสดง หรือเอนเตอร์เทนเนอร์ที่จากไปอย่างกระทันหัน ทั้งด้วยการฆ่าตัวตาย หรือเสียชีวิตจากการ Overdose เราจะรู้สึกใจหายอยู่เสมอ และตั้งคำถามอย่างเจ็บปวดอยู่เงียบๆ ว่าเพราะเหตุใดกันนะ พวกเขาจึงจากไปด้วยการจบชีวิตตัวเองลงแบบนั้น 

เบื้องหน้าสร้างสุข เบื้องหลังทุกข์ทน 


Men who sold the world 


แด่ Heath Ledger ถึง Robin Williams และศิลปินชายที่จากไปโดยไม่มีใครคาดคิด กับปัญหาสุขภาพจิตของผู้ชายที่ยังคงถูกกดทับไว้ด้วย Stigma 

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ในหลายๆ สังคมจะค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ ไปจนถึงการสมรสอย่างเท่าเทียมกันของคนทุกเพศมากขึ้น แต่กระแสหนึ่งจากโลกโซเชียลฯ เมื่อไม่นานมานี้เองที่หลายคนพูดถึงการแต่งงานแบบที่เรียกว่า Lavender Marriage จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของความสัมพันธ์ในยุคนี้ ซึ่งเราว่าทั้งน่าสนใจและน่าตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งถึงกลับไปให้คุณค่าและโอบรับกับสิ่งนี้กันนะ 

Lavender Marriage เมื่อคนเพศหลากหลายเลือกแต่งงานตามเพศกำเนิด
ไม่ใช่แค่เพื่อปิดบังความเควียร์ 
แต่ยังเป็น ‘ทางเลือก’ ใหม่ๆ ที่อาจตอบโจทย์รูปแบบความสัมพันธ์ในโลกยากๆ ใบนี้

คำว่า Manchild นอกจากนิสัยเด็กๆ ส่วนตัวในความสัมพันธ์ที่ Sabrina Carpenter ด่าไว้อย่างเจ็บแสบในหลายๆ ท่อน จริงๆ แล้ว นิยามของคำนี้มักเอาไว้ใช้พูดถึงผู้ชายที่ขาดการตอบสนองทางอารมณ์แบบผู้ใหญ่ หรือ ‘ขาดสกิลการดูแลความสัมพันธ์ให้เฮลตี้’ แบบที่คนซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรจะคิดและตกตะกอนได้

จะ ‘Manchild’ หรือ Emotionally Immature Partner ก็ล้วนหมายถึงคนรักที่ ‘ไม่รู้จักโต’ คิดถึงแต่ตัวเอง และขาดสกิลการดูแลความสัมพันธ์ให้เฮลตี้ ที่ถ้าเลือกไปต่อ บอกไว้ก่อนต้องใจเย็นพอสมควร!

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

ความคิดเห็นเชิงลบ บางทีก็มีคุณค่า

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

THADINEE

RELATED

HOT TOPICS