กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) คือผู้เข้าชิงจากเดโมแครต และหากเธอชนะการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ จะถือเป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ของอเมริกาเลยทีเดียว

Kamala Harris ผู้ท้าชิงเก้าอี้ ปธน. สหรัฐฯ ที่ตั้งใจผลักดันสิทธิสตรี ความหวังของการทวงคืน ‘สิทธิในการทำแท้ง’ ให้กลับมาอีกครั้ง

ถือว่าเราอยู่ในช่วงที่การเมืองสหรัฐอเมริกาถูกเขย่าครั้งใหญ่ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ถูกจับตาเป็นอย่างมาก เมื่อมันคือการปะทะกันของตัวแทนจากสองขั้วความคิด โดยผู้เข้าชิงจากพรรครีพับลิกันยังคงเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เจ้าของแนวคิดสุดโต่งขวัญใจฝั่งอนุรักษ์นิยม ส่วนอีกฝั่งก็คือ กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ที่รับไม้ต่อจาก โจ ไบเดน (Joe Biden) เป็นผู้เข้าชิงจากเดโมแครต ซึ่งหากเธอชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะถือเป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ของอเมริกาเลยทีเดียว อันที่จริง กมลา แฮร์ริสได้สร้างประวัติศาสตร์มาแล้วครั้งหนึ่ง ในฐานะรองประธานาธิบดีผู้หญิงผิวดำคนแรกของสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจาไมกา และแม่ของเธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผลงานโดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของเธอระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี คือการปกป้องสิทธิเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์ (reproductive freedom) ที่ให้ผู้มีมดลูกได้มีสิทธิตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อตัวร่างกายตัวเองในการยุติการตั้งครรภ์นั่นเอง&nbsp;ย้อนไปเมื่อปี 2022 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ได้ล้มล้างคำวินิจฉัยคดี Roe v. Wade (คดีที่เหยื่อฟ้องร้องผู้ข่มขืนและร้องขอสิทธิที่จะทำแท้ง และศาล ณ เวลานั้นตัดสินให้เธอชนะ) ซึ่งกลายเป็นการยกเลิกสิทธิทำแท้งตามรัฐธรรมนูญไปโดยปริยาย ซึ่งผู้โหวตล้มล้างคำพิพากษาดังกล่าวจำนวนสามในห้าคน เป็นผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมที่ได้รับการแต่งตั้งมาตั้งแต่สมัยที่ทรัมป์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี ขณะที่ในปี 2021 ผลสำรวจจากสำนักวิจัยพิว (Pew Research Center) ระบุว่า ชาวอเมริกัน 63 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนให้มีการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งสะท้อนได้ว่าการตัดสินใจของศาลค่อนข้างต่างไปจากความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลายรัฐในอเมริกายังกำหนดให้การทำแท้งหรือการยุติการตั้งครรภ์เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่ เมื่อไม่มีกฎหมาย Roe V. Wade ที่ให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้ว จึงทำให้หลายคนต้องออกเดินทางข้ามรัฐเพื่อไปทำแท้งซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายมหาศาล ไม่ว่าจะในแง่การเดินทางหรือการรักษา และผลักให้คนที่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอต้องเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์แบบผิดกฎหมาย ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ ที่ผ่านมาในฐานะรองประธานาธิบดี แฮร์ริสจึงออกเดินทางไปทั่วประเทศในนาม Reproductive Freedoms Tour หรือ ทัวร์เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์ โดยเธอเคยกล่าวไว้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมาว่า "กลุ่มหัวรุนแรงในประเทศเรายังคงต่อต้านการมีสิทธิเสรีภาพซึ่งเราดิ้นรนต่อสู้ได้มาอย่างยากลำบากอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผลักดันนโยบายสุดโต่งของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายห้ามทำแท้ง 50 รัฐซึ่งจะทำให้แพทย์ที่ดำเนินการยุติการตั้งครรภ์กลายเป็นอาชญากร ไปจนถึงการบังคับให้ผู้หญิงต้องออกเดินทางข้ามรัฐเพื่อเข้ารับการบริการที่จำเป็น" แฮร์ริสกล่าว&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJp1V2ls1a2hcHMdPuD48bnYUhLas98e9vA1.jpg" data-id="101759" data-url="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJp1V2ls1a2hcHMdPuD48bnYUhLas98e9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">"ฉันจะต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพวกเราต่อไป พร้อมกันกับที่จะรวมตัวกับเหล่าชาวอเมริกันที่เห็นพ้องต้องกันว่า ผู้หญิงทุกคนควรมีสิทธิในการตัดสินใจเหนือร่างกายตนเอง ไม่ใช่รัฐบาลที่มีสิทธินั้น" สำหรับแฮร์ริส กฎหมายห้ามทำแท้งทำให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องตกอยู่ในฐานะเสี่ยงที่จะจำคุกหรือตีตราว่าทำผิดกฎหมาย จากแค่การพยายามจะให้บริการด้านสาธารณสุข "นอกจากนี้ ในบางรัฐ กฎหมายนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นให้แก่ผู้ที่ถูกข่มขืนหรือกรณีการร่วมประเวณีในครอบครัวด้วยซ้ำไป ดังนั้นแล้ว ความคิดที่ว่าใครบางคนที่รอดชีวิตจากอาชญากรรมมาได้ ได้กระทำการละเมิดต่อร่างกายตนเองด้วยการยุติการตั้งครรภ์ หมายถึง การมีอำนาจเหนือร่างกายตัวเองของพวกเธอถูกมองเป็นเรื่องผิดศีลธรรมไปเสียแล้ว" แฮร์ริสยังผลักดันประเด็นเพื่อความเท่าเทียมเสมอมา โดยเธอเคยกล่าวว่า "หากเราสร้างโลกที่ผู้หญิงอยู่ได้ ประเทศของเราจะปลอดภัยขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และรุ่งเรืองยิ่งขึ้น" เธอว่า "เนื่องจากประชากรครึ่งหนึ่งของโลกเป็นผู้หญิง ผู้หญิงจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างเศรษฐกิจและสังคม ผู้หญิงเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่รักษาโรคภัย เป็นทหารที่คอยปกป้องประเทศชาติ เป็นผู้ประกอบการที่สร้างงานให้คนได้ทำ เป็นคุณครูที่คอยปลูกฝังผู้คนรุ่นต่อๆ ไป และแน่นอนว่าผู้หญิงยังเป็นผู้นำในรัฐบาล นับตั้งแต่ ซิโมน เวล (Simone Veil -นักการเมืองชาวฝรั่งเศส) อดีตประธานรัฐสภายุโรป ไปจนถึงเหล่าผู้นำหญิงรายรอบตัวพวกคุณในปัจจุบัน<img src="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJ73Tlrs1a2hsndSxEkW7eCdwCVwe9vA1.jpg" data-id="101759" data-url="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJ73Tlrs1a2hsndSxEkW7eCdwCVwe9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">"เราต้องทำให้มั่นใจว่าผู้หญิงสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่มีคุณภาพ นโยบายรัฐต้องครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ด้านสุขภาพ ผู้หญิงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีในที่ทำงาน ทั้งเรายังต้องออกแบบระบบการทำงานที่ทำให้พวกเธอสามารถดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวและประสบความสำเร็จในการทำงานไปด้วยกันได้" "เราต้องสู้เพื่ออนาคตและสู้เพื่อเสรีภาพ เราได้เป็นประจักษ์พยานการคุกคามเสรีภาพและสิทธิที่เราต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะเสรีภาพในการเลือกตั้ง เสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาวุธปืน เสรีภาพในการจะใช้ชีวิตโดยปราศจากความหวาดกลัวที่จะถูกเกลียดชังจากเชื้อชาติ เสรีภาพในการจะรักใครสักคนอย่างเปิดเผย เสรีภาพในการเรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์อันแท้จริงของพวกเรา และเสรีภาพที่ผู้หญิงจะได้มีอำนาจตัดสินใจเหนือร่างกายตัวเอง" แฮร์ริสกล่าว ในการปราศรัยหาเสียงที่มิลวอกี้ รัฐวิสคอนซินในวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แฮร์ริสประกาศผลักดันนโยบายการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายว่า "เราผู้เชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์ เราจะยับยั้งกฎหมายห้ามการทำแท้งอันสุดโต่งของโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะเราเชื่อในการตัดสินใจของผู้หญิงที่มีต่อร่างกายของตัวเอง ไม่ใช่ให้รัฐบาลมาสั่งว่าผู้หญิงต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อสภาคองเกรสผ่านกฎหมายสิทธิเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์ ดิฉัน -ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา- จะเซ็นผ่านกฎหมายนี้อย่างแน่นอนค่ะ"<img src="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJ7clp1V2n5yBp1V2Uds1a2hzMW793mIV8e9vA1.jpg" data-id="101759" data-url="https://media.thairath.co.th/image/yhpuZ7obrs1a2hjmHgoh9tXNJ7clp1V2n5yBp1V2Uds1a2hzMW793mIV8e9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">ดังนั้นแล้ว หากเธอได้รับเลือกขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยชาวอเมริกันก็น่าจะมีความหวังกับเรื่องนี้แล้วหนึ่งเรื่อง และไม่ใช่แค่เพียงชาวอเมริกัน เพราะนี่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเสรีภาพอนามัยเจริญพันธุ์ทั่วโลกด้วยเช่นกัน อ้างอิง<a href="https://www.nytimes.com/2024/07/21/us/politics/kamala-harris-abortion-immigration-economy-israel.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nytimes.com/2024/07/21/us/politics/kamala-harris-abortion-immigration-economy-israel.html</a>&nbsp;https://www.scientificamerican.com/article/kamala-harris-record-on-abortion-rights-shows-strong-support/&nbsp;&nbsp;https://multimedia.europarl.europa.eu/en/video/international-womens-day-celebration-video-message-by-kamala-harris-vice-president-of-the-united-states_I202777&nbsp;&nbsp;https://www.elle.com/culture/career-politics/a35763286/kamala-harris-international-womens-day-speech-european-parliament/&nbsp;https://ec.europa.eu/commission/presscorner/detail/fr/speech_21_1064&nbsp;https://whyy.org/articles/kamala-harris-first-campaign-speech-2024/&nbsp;https://www.pbs.org/newshour/politics/when-we-vote-we-make-history-black-female-leaders-rally-around-kamala-harris&nbsp;https://www.c-span.org/video/?535104-101/vice-president-harris-delivers-remarks-womens-reproductive-rights&nbsp;

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาเดิมๆ อย่างเรื่องความรุนแรงในความสัมพันธ์ยังคงไม่ไปไหน อย่างกรณีหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงไม่น้อยในช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา ก็คือกรณีที่อดีตสามีทำร้ายร่างกายอดีตภรรยา

คดีอดีตสามีทำร้ายภรรยา คำพูดที่ชี้ชัดถึงความคิดของคนที่เลือกจะใช้ความรุนแรง และ ‘วงจรความรุนแรง’ ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็มักจะมีครั้งต่อไปเสมอ

นับเป็นสกู๊ปข่าวที่น่าสะท้อนใจเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามและความรุนแรงทางการเมือง ที่พรากเอาโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขไปจากประชาชน และผู้หญิงก็เป็นอีกกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

The New York Times เผย สงครามและการยึดอำนาจในเมียนมา ผลักให้แพทย์หญิงและพยาบาล ต้องขายบริการทางเพศ

กลายเป็นประเด็นใหญ่ในฮอลลีวูด จากกรณีที่นักแสดงสาว Blake Lively ยื่นฟ้อง Juston Baldoni ที่เป็นทั้งผู้กำกับและแสดงนำคู่กับเธอในภาพยนตร์เรื่อง It Ends with Us

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Movement

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MAN ON FILM

RELATED

HOT TOPICS