คนเราเลือกครอบครัวที่จะมาเกิดด้วยไม่ได้ และในเมื่อไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้สุ่มเกิดมาเจอครอบครัวที่อบอุ่นแน่นแฟ้น พร้อมเป็นพื้นที่ปลอดภัยในชีวิต หนำซ้ำ บางครอบครัวยังกลายเป็นนรกสำหรับลูกเสียอีก อย่างนี้แล้ว เราจะตั้งคำถามกับคำว่า ‘บุญคุณพ่อแม่’ กันไม่ได้จริงๆ หรือ?
หลายคนน่าจะได้เห็นดราม่าเรื่องครอบครัวที่วนมาอีกครั้ง หลังจากที่เพจทำอาหารชื่อดัง ได้ตั้งประเด็นเกี่ยวกับการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ โดยในครั้งแรกได้แคปเอาภาพจากคลิปของยูทูบเบอร์ช่องบ้านกูเอง มาแปะในเพจ ซึ่งภาพนั้นมีเฮดไลน์แปะไว้ว่า “บุญคุณพ่อแม่ ต้องชดใช้จริงหรอ?” และทางเพจทำอาหารก็ได้เขียนแคปชั่นว่า “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันคือความรักและสามัญสำนึก ของลูกคนหนึ่งที่มีให้กับพ่อแม่” และหลังจากมีคอมเมนต์ถกเถียงและเห็นต่าง ทางเพจทำอาหารก็ได้เปลี่ยนเอาภาพนั้นออกและใช้เป็น text ล้วนว่าด้วยแคปชั่นเดิมแทน
ซึ่งถ้าจะว่ากันที่คอนเทนต์ของบ้านกูเอง ประเด็นสำคัญของเขาคือการตั้งคำถามในท้ายคลิปว่า “แล้วจะทำยังไงให้ครอบครัวของเราดูแลและรักใคร่กัน โดยไม่ต้องพึ่งคำว่าบุญคุณ” เขาไม่ได้บอกว่าเราควรตั้งหน้าละทิ้งความรักในครอบครัวด้วยซ้ำ แต่หาวิถีทางจะรักกันโดยไม่ต้องพึ่งค่านิยมสำเร็จรูปเสียมากกว่า
นี่จึงเป็นอีกครั้งที่ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงไม่รู้จบ เพราะสำหรับหลายคนแล้ว ครอบครัวยังเป็นสถาบันที่แตะต้องไม่ได้ และใครที่คิดเห็นต่างออกไป ก็พร้อมจะโดนตราหน้าว่า ‘เนรคุณ’ หรือ ‘ไร้สามัญสำนึก’ ในทันที ยิ่งกว่านั้น หลายคนกลับออกแนวตัดพ้อสังคมว่ากำลังเสื่อมทรามลงทุกที เมื่อคนพูดเรื่องนี้กันมากขึ้น
อะไรที่ทำให้เรายึดติดกับคำว่า ‘บุญคุณพ่อแม่’ กันขนาดนั้น ทั้งที่มันเป็นค่านิยมแต่โบราณที่ควรจะได้รับการทำความเข้าใจกันใหม่ได้แล้ว? แต่ทำไม แม้แค่จะตั้งคำถามก็พร้อมจะต้องถูกโจมตีกลับในทันที โดยไม่ทันได้ฟังหลักการ ข้อเสนอ หรือข้อโต้แย้งด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่โตขึ้นมา เราล้วนได้รับการหล่อหลอมผ่านสื่อและสังคมรอบตัวอย่างเข้มข้น กล่อมให้เราจดจำว่าความกตัญญูกลายเป็นคุณธรรมข้อสำคัญ ให้เรารู้สึกโรแมนติกกับการรักอย่างไม่มีเงื่อนไข การโบลด์พระคุณของพ่อแม่ให้ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ เอาโลกมาทำปากกา เอานภามาแทนกระดาษ ก็ยังประกาศพระคุณไม่พอ และไม่ว่าอย่างไร เพียงแค่ให้กำเนิดเราออกมา ก็คือบุญคุณล้นหัวที่ต้องตอบแทนแล้ว ซึ่งคำว่า “ไม่ว่าอย่างไร” นี่เอง ที่ทำให้รายละเอียดต่างๆ ถูกละเลยไปโดยสิ้นเชิง
หากตัดความโรแมนติกออกไป หลายครั้งครอบครัวเป็นพื้นที่อันเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม เราล้วนเคยได้ยินข่าวคราวสารพัดความท็อกซิกในครอบครัว ที่ไล่ระดับได้ตั้งแต่การคาดหวังกับลูกมากเกินไป กะเกณฑ์ชีวิตลูกมากเกินไป จำกัดอิสระลูก สร้างหนี้สินภาระให้ลูก ใช้ความรุนแรงกับลูก ไม่ว่าจะทางอารมณ์ วาจา ร่างกาย หรือกระทั่งร้ายแรงถึงขั้นล่วงละเมิดลูก ฯลฯ หลายคนรอวันที่ตัวเองจะหลุดพ้นไปจากครอบครัว โศกนาฏกรรมเหล่านี้สะเทือนใจแต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงน่าแปลกใจที่หลายคนยังคาดหวังให้ทุกผู้ทุกคนต้องยังรักอย่างไม่มีเงื่อนไขกันอยู่อีก
.
หากจะว่ากันจริงๆ การใช้คุณธรรมสำเร็จรูปเหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ศีลธรรมของสังคม และคอยรับประกันความรู้สึกอุ่นใจในบั้นปลายชีวิตใครหลายคน โดยเฉพาะในบ้านเมืองที่รัฐไม่ได้มีสวัสดิการรองรับพวกเราเอาไว้เลย การแก่เฒ่าไปอย่างอัตคัดไร้คนดูแลกลายเป็นฝันร้ายที่หลายคนกลัว หลายคนจึงเลือกมีลูกด้วยเหตุผลนี้ โดยที่ระหว่างทางนั้น บางคนก็อาจได้ฝากบาดแผลให้ลูกไว้โดยไม่รู้ตัว แต่กลับยังคงคาดหวังว่าลูกจะยังยึดมั่นกับความกตัญญูอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งนี่คงไม่อาจจะเป็นบรรทัดฐานหนึ่งเดียวของสังคมได้อีกแล้ว
.
แน่นอน เราไม่ได้จะบอกว่าทุกคนจงละทิ้งพ่อแม่ แต่สิ่งที่เรายืนยันคือ ทุกคนสามารถตั้งคำถามกับครอบครัวของตัวเองได้ สามารถได้เลือกใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพ ไม่ถูกกักเอาไว้ ไม่ถูกตัดสินผ่านคำว่าบุญคุณ แต่ละครอบครัวสามารถมีรูปแบบความสัมพันธ์ที่ต่างกันออกไป ความรักความผูกพันจึงเป็นผลที่เกิดมาตามหลักการกระทำและผลการกระทำ ประกอบกับการเติบโตตามครรลองของแต่ละชีวิต
.
เราควรมีพื้นที่ในการตั้งคำถามและขบคิดเกี่ยวกับครอบครัวให้มากกว่านี้ ความรักความผูกพันมันควรเกิดจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันมาตลอดเส้นทางชีวิต ค่อยๆ เรียนรู้ไปด้วยกัน ค่อยๆ ดำเนินอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อกันไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต
.
อย่างไรก็ตาม คนที่เติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่พร้อมเป็นเบาะรองรับในทุกช่วงเวลาของชีวิต มีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ราบรื่น อาจยังไม่เข้าใจว่าครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยร้าวนั้นเจ็บปวดแค่ไหน หรือใครที่ทุ่มเททุ่มใจให้ครอบครัว ก็อาจไม่เข้าใจคนที่ขาดตกบกพร่องด้วยการขาดปัจจัยต่างๆ ได้เช่นกัน
.
ท้ายที่สุด เราอย่าใช้ศีลธรรมของตัวเองไปตัดสินคนอื่นกันเลยดีกว่า อย่าเอาประสบการณ์ส่วนตัวไปตัดสินคนอื่นเลย สังคมที่คนสามารถตั้งคำถามได้ ไม่ใช่สังคมที่เสื่อมโทรมลง แต่คือสังคมที่เปิดกว้างและเข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้นต่างหาก
.
สนใจรับฟังแง่มุมทั้งหมดจากช่องบ้านกูเอง คลิกดูได้ที่ https://youtu.be/QfxGlCDdACA