นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ในประเทศอิหร่าน ที่ผู้หญิงในประเทศรวมถึงคนที่สนับสนุนสิทธิสตรีพากันออกมาชุมนุมต่อต้านข้อบังคับที่ให้ผู้หญิงต้องสวมฮิญาบ และเรียกร้องเสรีภาพให้กับผู้หญิงในประเทศ
พวกเธอพากันปลดเปลื้องผ้าคลุมหัวตัวเองแล้วโยนเข้ากองไฟ ผู้ประท้วงอีกคนหนึ่งโยนฮิญาบทิ้งและใช้กรรไกรตัดผมของตัวเอง ท่ามกลางเสียงสนับสนุนของผู้ชุมนุมที่ตะโกนคำว่า “เผด็จการจงตายไป” แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนในประเทศที่จะยอมทนกับกฎข้อบังคับที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพอย่างนี้ และนับว่านี่เป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในอิหร่านนับจากปี 2019 ที่รัฐบาลขึ้นราคาค่าแก๊ซ
การประท้วงครั้งนี้ปะทุขึ้นหลังจาก มาห์ซา อามินี (Mahsa Amini) หญิงสาววัย 22 ปี ถูกกลุ่ม ‘ตำรวจศีลธรรม’ จับกุมในข้อหาแต่งกายไม่เหมาะสม เพียงเพราะเธอไม่สวมฮิญาบ โดยตำรวจศีลธรรมหรือ Gasht-e-Ershad เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ในประเทศอิหร่านโดยเฉพาะ และกฎหมายนี้ก็บังคับให้ผู้หญิงอิหร่านทุกคนต้องปกปิดใบหน้า ผม และร่างกายตัวเองให้มิดชิดเมื่อออกจากบ้าน
อามินีไม่เพียงแต่ถูกจับ แต่เธอยังถูกทำร้ายในสถานีตำรวจจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กันยายน ซึ่งทางการอ้างว่าเธอเสียชีวิตจากสภาวะหัวใจล้มเหลว แต่มีหลักฐานยืนยันออกมาว่าเธอถูกตำรวจศีลธรรมทุบตีจนเสียชีวิตต่างหาก การที่เธอถูกจับก็นับว่าขัดต่อสิทธิสตรีอย่างยิ่งแล้ว ยิ่งเมื่อเธอต้องเผชิญความเจ็บปวดถึงตายเพียงเพราะไม่สวมใส่ฮิญาบ ผู้หญิงในประเทศจึงพากันลุกฮือในที่สุด
“รัฐบาลต้องหยุดจับจ้อง คุกคาม และจับกุมผู้หญิงที่ไม่ยินยอมปฏิบัติตามกฎบังคับสวมฮิญาบได้แล้ว” หนึ่งในผู้เรียกร้องกล่าว โดยนอกจากการลงถนน ยังมีการส่งเรื่องไปยังสหประชาชาติเพื่อขอความช่วยเหลือ และขณะนี้การประท้วงดำเนินมาถึงวันที่ 5 แล้ว จึงเป็นอีกเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไปว่าทางรัฐบาลอิหร่านจะพิจารณากฎหมายของตัวเองหรือไม่ และฝั่งผู้เรียกร้องเสรีภาพยังต้องต่อสู้กับอะไรอีก
อ้างอิง
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-62967381