ความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน ให้เป็นเพื่อนเหรอ ไม่เอาอะ เธอพิเศษกว่าใคร งั้นเป็นแฟนกันเลยไหมล่ะ เฮ้ย ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น เราเชื่อว่าใครที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ คงเข้าใจความรู้สึกที่แม้จะทำตัวฟีลแฟน คอยรับส่ง ห่วงใย โทรหา หรือมีเซ็กซ์กัน ก็ยังอยู่ในบทบาทคนไร้สถานะ เป็นเฟื่อนรักที่ใครถามว่าเป็นอะไรกันก็อึกอักตอบไม่ถูก เป็นคนคุยที่ไม่ได้คบ (สักที) ถูกดองไว้ในตำแหน่ง ‘Situationship’ จนบางทีก็มีฝ่ายหนึ่งท้อ
การเป็นคนคุยที่ไม่ได้คบ aka ‘Situationship’ เนี่ย เราก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นทางที่แย่ ที่ผิดไปซะหมด เพราะสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับทั้งคู่ตกลงกัน ทว่าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ใครคนหนึ่งรู้สึกมากจนอยากข้ามสถานะไปเป็นอย่างอื่น แต่อีกฝ่ายยังอยากอยู่บนเส้นไร้สถานะ จากความสัมพันธ์โรแมนติก จะกลายเป็นความสัมพันธ์ท็อกซิกที่ส่งผลเสียต่อใจเอาได้ง่ายๆ
“Situationship คือช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ผูกมัดกับอะไรสักอย่างที่มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่ friends with benefits หรือเป็นแฟน คือมันไม่มีอะไรบอกเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นอะไรกัน” โจนาธาน อัลเพิร์ต (Jonathan Alpert) นักจิตบำบัดกล่าวถึงคำนิยามที่ไม่มีนิยามของคำคำนี้ที่พบว่าในยุคนี้มีคนอยู่ในสถานะนี้กันมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจจากเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังอย่าง Match.com พบว่า 52% ของหนุ่มสาวที่โสด ‘กังวล’ ว่าคู่ที่แมตช์กันของพวกเขาจะไม่ต้องการความสัมพันธ์ที่จริงจังมากขึ้น
ส่วนถ้าถามว่าทำไมคนถึงเริ่มไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง ก็อาจตอบได้ว่า ความสัมพันธ์แบบผูกมัดเริ่มไม่ใช่จุดสูงสุดของชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ที่หลายคนก็ตั้งธงในชีวิตกันไว้เลยว่า ฉันจะต้องได้แต่งงาน ฉันจะต้องมีแฟนที่คบกันนานๆ อะไรแบบนี้ แต่พอกาลเวลาผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างก็สอนผู้คนว่า บางทีความรักอย่างเดียวมันไม่พอ และความรักที่ผูกมัดก็ไม่จำเป็นต้องเป็น priority แรกของทุกคน บางคนก็มีงาน หรือมีสิ่งที่อยากทำอื่นๆ มาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิต และความรักแบบไม่ผูกมัด ดูใจกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเป็นอะไรที่ไม่ทำให้รู้สึกเครียดเพิ่ม และการค่อยเป็นค่อยไปก็อาจจะถูกใจผู้คนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ในเชิงวัฒนธรรม เราคาดหวังกับความสัมพันธ์เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ผู้คนเลือกแต่งงานกันเป็นเรื่องท้ายๆ ในชีวิต และหลายคนก็กระตือรือร้นที่จะสำรวจความสัมพันธ์ด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีแรงกดดันจากข้อผูกมัด เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับความเข้าใจในตัวเอง (self-knowledge) และการพัฒนาตัวเอง” มุมมองจาก ซาบา ฮารูนิ ลูรี (Saba Harouni Lurie) นักบำบัดด้านการแต่งงาน และครอบครัวในแคลิฟอร์เนีย
ความสัมพันธ์แบบนี้มันก็อาจจะดีกับคู่ที่ตกลงกันได้ว่า เราอยู่ในสถานะนี้มันลงตัวที่สุด ไม่ต้องคอยโทรจิกว่าอยู่ที่ไหน ไม่ต้องคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นแฟนที่ดีหรือไม่ เพราะสุดท้ายคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน เหมือนที่ ทราวิส แมกนัลตี (Travis McNulty) นักบำบัดบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาเลือกที่จะอยู่ในความสัมพันธ์นี้ เพราะช่วยบรรเทาความกังวล และความคาดหวัง โดยไม่ต้องเดาว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกมนุษย์นั้นคาดเดาไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์แบบผูกมัดบางทีก็นำไปสู่การนอนไม่หลับหลายคืน เพราะความกดดันในชีวิตคู่
แต่เดี๋ยวก่อน ความสัมพันธ์ที่ไม่สิทธิ์รับรู้เรื่องราวชีวิตของอีกฝ่าย ไม่มีสิทธิ์คาดหวังต่อความสัมพันธ์ ไม่มีสิทธิ์พูดในสิ่งที่อยากพูด ไม่มีสิทธิ์หึง ไม่มีสิทธิ์มองไปถึงอนาคตที่มีร่วมกัน ไม่มีสิทธิ์รู้จักคนรอบข้างของอีกฝ่าย ฯลฯ มันไม่ได้เวิร์กสำหรับทุกคน และนำพาไปสู่ช่องโหว่ทางอารมณ์ที่หลายคู่ก็พังกันมานักต่อนัก
ยิ่งหากคุณหลงรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง แต่เขาคนนั้นตั้งกำแพงไว้กั้นคุณอยู่ แน่นอน คุณคงทำเป็นรู้สึกเฉยๆ กับความรู้สึกนี้ไม่ได้แน่ๆ แอบบี้ เมดคาล์ฟ (Abby Medcalf) ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ชี้ว่า “คุณจะเริ่มรู้สึกถูกปฏิเสธ เพราะคนที่คุณต้องการ เขาไม่ต้องการคุณอย่างเต็มที่” ซึ่งจะทำไปสู่ความรู้สึกโกรธ ทะเลาะเบาะแว้ง และความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ และเมื่อเขาไม่ได้เปิดใจอยากให้คุณรู้ความเคลื่อนไหวในชีวิตเขา นั่นก็แสดงว่าเขาก็ไม่ได้มีความไว้วางใจกับคุณ ซึ่งไม่ว่าจะมีชื่อเรียก หรือไม่มีชื่อเรียก หากไม่ไว้ใจกัน คงไม่ใช่ทุกคู่ที่จะอยู่กันนาน
"หากไม่เชื่อใจกัน ก็ไม่เผยจุดอ่อน และหากไม่เผยจุดอ่อน ย่อมไม่มีความใกล้ชิดทางอารมณ์" ที่เมดคาล์ฟบอกก็ถูก เพราะหากคุณพูดอะไรกันไม่ได้ รู้สึกอะไรก็ไม่สามารถบอกได้ คงอึดอัดไม่ใช่น้อย เราจึงมักเห็นฝ่ายที่รู้สึกมากกว่าเลือกจะทุ่มเทให้อีกฝ่ายทุกอย่าง เพื่อหวังทำลายกำแพงของอีกฝ่าย และหวังจะเป็นคนรักตัวจริง แต่สุดท้าย ถ้าเขาจะปิดกั้น เขาก็ปิดกั้นอยู่ดี
ดร.ซาบริน่า โรมานอฟ (Dr. Sabrina Romanoff) นักจิตวิทยาคลินิกและศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยชิวา ชี้ความจริงที่ว่า การรู้จักกับอีกฝ่ายอย่างผิวเผิน แม้จะได้ใช้เวลาร่วมกัน หรือคิดว่าสนิทกันแล้ว แต่ไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางอารมณ์กันอย่างลึกซึ้ง บทสนทนาที่พูดคุยกันก็จะผิวเผินต่อไป และเขาก็มักจะไม่ถามเรื่องส่วนตัว หรือพูดเรื่องส่วนตัวกับคุณเท่าไหร่ และถ้าวันใดเขาหายไป คุณอาจไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งเมื่อไหร่ นานแค่ไหนที่เขาจะตอบกลับข้อความ หรือจะโทรหาหรือเปล่า
ด้าน คาร์ลา แมนลี่ (Carla Manly) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์กล่าวถึงความเสี่ยงในความสัมพันธ์นี้ว่า “หลายคนคร่ำครวญกับการทุ่มเทเวลา ความพยายาม และแม้แต่เงินในความสัมพันธ์แบบ Situationship ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มีผล” และเสริมอีกว่า “ในบางกรณี มันก็อาจเป็นแค่การวิ่งไล่ตาม รู้สึกเหงา หรืออยากเติมเต็มความว่างเปล่าที่กระตุ้นความสนใจในความสัมพันธ์ครั้งนี้”
ซึ่งหากคนที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์นี้ตกลงกับคู่ตัวเองอย่างดีแล้วว่ามีความสุขกับรักไร้สถานะแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไร เพราะเงื่อนไขในชีวิต หรือความต้องการของแต่ละคนก็ยากที่จะตัดสินได้ แต่สำหรับบางคนที่เชื่ออยู่ลึกๆ ว่าอีกฝ่ายพร้อมพัฒนาความสัมพันธ์ครั้งนี้ หรือตัวคุณเองอยากลองเสี่ยงสักตั้งกับการบอกความในใจ แมนลี่ก็แนะนำว่าให้พูดออกไปตรงๆ อย่างจริงใจ ซึ่งเราคิดว่าก็ไม่แน่เหมือนกันนะ ที่เขาอาจจะเลือกลองก้าวไปกับคุณจริงๆ แต่ถ้าแย่หน่อย เราก็แค่รู้แล้วว่าความต้องการของเขา และเราไม่ตรงกัน นำไปสู่การเลือกเดินกันไปคนละทาง เพื่อหาความสัมพันธ์ที่ต้องการอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ต้องมีใครเจ็บเพิ่มจากเดิมอีก
อ้างอิง:
https://www.myimperfectlife.com/features/what-is-a-situationship
https://www.nbcnews.com/better/lifestyle/are-you-situationship-what-it-how-get-out-it-ncna1057141
https://nypost.com/2021/08/30/men-who-wont-commit-lead-to-toxic-situationships-in-dating/
https://www.myimperfectlife.com/features/what-is-a-situationship
https://www.verywellmind.com/what-is-a-situationship-5216144