หนึ่งในตัวละครหญิงที่คนดูรักและเอาใจช่วยมากที่สุดคนหนึ่งในจักรวาลของเจมส์ บอนด์

Madeleine Swann สาวบอนด์ผู้แข็งแกร่งคนสุดท้ายแห่ง No Time to Die

"นี่คือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือ ใช้ชีวิตในเงามืด ออกล่า ถูกล่า และโดดเดี่ยวตลอดกาล"หนึ่งในความตราตรึงของ Spectre (2015) หนังสายลับชาวอังกฤษ เจมส์ บอนด์ ที่นำแสดงโดย แดเนียล เคร็ก ไม่เพียงแต่พล็อตจะจับจ้องไปยังองค์กรก่อการร้ายคู่ปรับเก่าตลอดกาลของบอนด์ แต่มันยังแนะนำให้คนดูได้รู้จักกับ แมเดลีน สวอนน์ จิตแพทย์สาวชาวฝรั่งเศสที่บอนด์ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งยังเป็นตัวละครเดียวในประวัติศาสตร์ที่บอนด์รักแล้วรอดชีวิตมาโลดแล่นอยู่ในหนังภาคต่อ ซึ่งเป็นภาคปิดฉากบอนด์ของแดเนียล เคร็ก อย่าง No Time to Die (2021)แมเดลีนรับบทโดย ลีอา เซย์ดูซ์ (Léa Seydoux) นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส —ที่ทำให้คนตั้งข้อสังเกตว่า ตัวละครนำหญิงในหนังบอนด์ของเคร็ก เปิดด้วยนักแสดงชาวฝรั่งเศสคือ เอวา กรีน (Eva Green) และปิดด้วยสาวฝรั่งเศสคือเซย์ดูซ์อีกเช่นกัน— สวอนน์เป็นจิตแพทย์สาวที่ชีวิตถูกลากเข้าไปพัวพันกับอันตรายสุดขีดเมื่อพ่อของเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรก่อการร้ายนาม Spectre อันส่งผลให้ชีวิตวัยเด็กของเธอพินาศสิ้นเมื่อวันหนึ่งมีคนร้ายบุกเข้ามาหมายจะสังหารพ่อ บีบให้แมเดลีนวัยเยาว์ต้องหัดจับปืนแล้วสังหารผู้บุกรุกทิ้งโดยไม่มีทางเลือกจนกลายเป็นแผลฝังใจลึกล้ำแม้เมื่อเธอเติบโตขึ้น&nbsp;มากไปกว่านั้น ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของแมเดลีนก็ยังหนีไม่พ้นไปจาก Spectre และสิ่งที่พ่อเธอทำไว้ เมื่อในวันหนึ่ง เธอพบว่าอันตรายค่อยๆ คืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตอันแสนปกติสุขทั้งในนามขององค์กรก่อการร้ายที่พ่อเธออยู่ และในนามของชายชาวอังกฤษที่บอกหน้าตาเฉยว่างานของเขาคือการฆ่าคน (อย่างไรก็ตาม แมเดลีนมาพบภายหลังว่าคำตอบของเขานั้น แม้ไม่ผิดนักแต่ก็ไกลจากความเป็นจริงอยู่ เพราะโดยอาชีพแล้วเขาเป็นสายลับ และทำงานให้รัฐบาลอังกฤษด้วย)&nbsp;นับตั้งแต่นาทีนั้นแมเดลีนก็ต้องระหกระเหินหลบหนีองค์กรลับไปพร้อมกับบอนด์ ซึ่งหนังชี้ให้เห็นว่าเธอไม่ได้หวาดกลัวและเอาแต่วิ่งหนีเสมอไป แมเดลีนยังเข้มแข็ง เปี่ยมไปด้วยไหวพริบและเด็ดขาดมากพอเมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับอดีตตลอดจนองค์กร Spectre ที่เธอแสนจะชิงชัง ทำให้เธอเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงที่คนดูรักและเอาใจช่วยมากที่สุดคนหนึ่งในจักรวาลของเจมส์ บอนด์"เธอไม่ได้เป็นตัวละครแบบที่คุณคาดว่าจะได้เห็นจาก 'สาวบอนด์' หรอกนะคะ แมเดลีนเป็นผู้หญิงที่เก๋มาก เก๋กว่าที่ฉันเป็นในชีวิตจริงเสียอีก" นักแสดงสาวขยายความ และเพื่อตอกย้ำเรื่องนี้ เธอเล่าว่าตอนออดิชันนั้นเธอประหม่าจนดื่มเบียร์ย้อมใจไปพักใหญ่ ก่อนจะเข้าไปออดิชันด้วยใบหน้าแดงก่ำและลงเอยด้วยการจำบทไม่ได้เลย "สุดท้ายเลยต้องขอออดิชันรอบสองค่ะ" เธอเล่าเขินๆ "ที่สำคัญคือแมเดลีนมีอิทธิพลอย่างมากในการเปลี่ยนชีวิตของบอนด์"แมเดลีนไม่ได้ชิงชังบอนด์ แต่เธอก็ไม่ได้ปรารถนาเขาเช่นกัน เมื่อทั้งสองพบกันครั้งแรกในห้องทำงานของเธอ แมเดลีนแสดงตัวชัดเจนว่าเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาและไม่ได้วางตัวเองอยู่ในสถานะเป็นรอง เธอรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนและหาวิธีรับมือกับมันในแบบของเธอเองอย่างเข้มแข็ง ซึ่งยิ่งขับให้เธอเปี่ยมเสน่ห์และน่าค้นหา ไม่เพียงแต่ในสายตาของบอนด์ แต่รวมถึงในสายตาของคนดูด้วย&nbsp;"แมเดลีนไม่ได้เป็นตัวละครที่คุณคาดหวังจะได้เห็นจากสาวบอนด์ เธอมีตัวตน มีปัญหาของตัวเองและเธอก็มุ่งมั่นจะจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านั้นของเธอด้วย" เซย์ดูซ์ว่า "ก็จริงว่าเธอไม่ได้เป็นนักสู้ เธอเป็นแพทย์ แต่เธอก็มีวิธีสู้ในแบบของเธอเอง"'วิธีสู้ในแบบของแมเดลีน' ที่เซย์ดูซ์หมายถึง ไม่เพียงแต่เป็นการใช้ไหวพริบตลอดจนทักษะการต่อรองต่างๆ กับองค์กรก่อการร้ายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่มันยังหมายถึงทักษะการต่อสู้ดังที่ปรากฏใน No Time to Die เมื่อเรื่องราวความหลังของแมเดลีน (และผลพวงจากการกระทำของพ่อเธอ) ทำให้ชีวิตเธอกับบอนด์ขยับไปไม่พ้นบ่วงของอันตรายและความตาย จนเธอต้องลุกขึ้นมาปกป้องชีวิตตัวเองและคนรักจากอดีตซึ่งไล่ล่าพวกเขา และความเป็นแมเดลีนนี่เองที่ทำให้เราได้เห็นบอนด์ในแง่อ่อนโยน เปราะบางและก้าวข้ามไปอยู่อีกหมุดหมายหนึ่งของชีวิตนอกเหนือจากการเป็นสายลับ นั่นคือการได้เป็นคนรักของใครสักคน&nbsp;จึงไม่แปลกอะไรหากว่าแมเดลีนจะเป็นหญิงสาวที่บอนด์รัก ซึ่งยังมีชีวิตรอดจนได้มาแสดงนำในหนังภาคต่อมา (หญิงสาวก่อนหน้านี้คือ เทรซี ดีวิเซนโต แห่ง On Her Majesty's Secret Service กับ เวสเปอร์ ลินด์ จาก Casino Royale ซึ่งบทลงเอยในฐานะคนรักของบอนด์นั้นจบไม่สวยทั้งคู่) ในห้วงเวลาสั้นๆ ที่ได้รู้จักกัน เธอเปลี่ยนชีวิตเขาไปสู่อีกจุดหนึ่ง เธออ่อนโยน เข้มแข็งและฉลาดเฉลียวทัดเทียมกับเขา จนถึงที่สุด ไม่เพียงแต่บอนด์เท่านั้นที่หลงรักเธอ หากแต่ก็เป็นกลุ่มคนดูค่อนโลกอย่างเราๆ ด้วย

ภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ สะท้อนความสัมพันธ์แบบ What if ได้เป็นอย่างดี เพราะคำตอบของ ‘ดากานดา’ ในวันนั้น กลายเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจตัวละครและผู้ชมมาตลอดหลายสิบปี ถ้าไข่ย้อยกล้าทำอะไรมากกว่านี้ ทั้งคู่จะไม่เป็นอย่างเพลง ‘I'm ok // not ok’ หรือเปล่า?

จากหนัง ‘เพื่อนสนิท’ สู่บทเพลง ‘I'm ok // not ok’ ทำไมความสัมพันธ์แบบ What if จึงสวยงามเสมอ เมื่อเรื่องราวของทั้งคู่จบลงตั้งแต่จดหมายฉบับสุดท้าย และความเสียดายติดค้างอยู่ในใจตลอดกาล

เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งสำหรับวงเกิร์ลกรุ๊ปตัวแม่เจน 5 อย่าง ‘KISS OF LIFE’ (aka จูบชีวิต) หลังจากคัมแบ็คครั้งล่าสุดด้วยเพลงไตเติ้ล ‘Lips Hips Kiss’ โดยในท่อนฮุคของเพลงนี้ สาวๆ จูบชีวิตแสดงท่าเต้นที่คล้ายกับ ‘การดึงสายชุดชั้นในของผู้หญิง’ ซึ่งชาวเน็ตเกาหลีบางส่วนมองว่าเป็นท่าเต้นที่ไม่เหมาะสม ล่อแหลม ยั่วยุ และส่อถึงเรื่องเพศมากจนเกินไป

ดึงสายเสื้อ(ใน) = ล่อแหลมเกินไป? ‘Kiss of Life’ โดนชาวเน็ตเกาหลีโจมตีว่า ท่าเต้นส่อถึงเรื่องเพศ และแต่งตัวโป๊เปลือย ทั้งที่ไม่มีใครสมควรถูกลดทอนคุณค่า
เพียงเพราะเป็นคนเซ็กซี่


อันที่จริงแล้ว ​​Laurence Anyways อาจเป็นหนังที่เปิดมาด้วยการพูดเรื่องการข้ามเพศของคนคนหนึ่ง แต่สำหรับเราที่กลับมาดูเรื่องนี้อีกครั้งในวัยและวันที่เติบโตขึ้น เรากลับพบว่า ​​Laurence Anyways คือหนังรักที่พูดเรื่องความรักได้อย่างทรงพลังดีๆ นี่เอง เพียงแต่มันเป็นความรักที่มองมาจากมิติอันหลากหลายแตกต่างไป นั่นหมายถึงการรักและเคารพตัวเองไปพร้อมกับเคารพในสิ่งที่ตัวเองได้ ‘เลือก’ อย่างสัตย์ซื่อ 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Films

Madeleine Swann สาวบอนด์ผู้แข็งแกร่งคนสุดท้ายแห่ง No Time to Die

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MAN ON FILM

RELATED

HOT TOPICS