LadyMirror รู้ทุกเรื่องของผู้หญิง | แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ บิวตี้ ความงาม และอื่นๆ

ผู้หญิงมี ‘หนวด’ เรื่องธรรมชาติ ที่ไม่ได้ลดทอนความเป็นหญิง และไม่ควรเป็นสิ่งผิดปกติ

หน้าต้องเกลี้ยง ผิวต้องเกลา ‘หนวด’ บนหน้าต้องไม่มี ต้องไปหาแวกซ์ ถอน หรือเลเซอร์ให้เรียบ ขณะที่ผู้หญิงบางคนอยากเอาหนวดออกด้วยความชอบส่วนตัว ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่อีกจำนวนหนึ่งไม่ได้มองว่าหนวดเป็นปัญหาแต่แรกนี่สิ แต่ต้องทำตามแรงกดดันทางสังคมที่ปลูกฝังกันมาว่า มีหนวดน่ะ “แมน ลิง แปลก ไม่ละมุน ดูไม่เหมือนผู้หญิงเอาซะเลย” บางคนไม่ได้สังเกตว่าหนวดตัวเองแปลกกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ จนกระทั่งมีคนทักหรือรู้ตัวอีกทีก็โดนบูลลี่ไปแล้ว ก็เลยต้องไปหาทางจัดการเอามันออก

ถามว่าปัญหานี้อยู่ที่ใคร? คงไม่ใช่ผู้หญิงที่เกิดมามีหนวดเป็นแน่

ด้วยความนึกคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ จึงเริ่มมีบางแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้านมีดโกน นำเสนอแนวคิดทางเลือก อย่าง แบรนด์ ‘Billie’ ที่ปัดตกการให้นางแบบโชว์ความเรียบเนียนไร้ขนตามแบบฉบับโฆษณาความงามทั่วไป หันมาเลือกการโชว์หนวดของผู้หญิง และบอกว่าการโกนเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง ซึ่งหากคุณต้องการเก็บมันไว้ตามร่างกาย ทางแบรนด์ก็ยินดีด้วย แต่ถ้าคุณต้องการกำจัดขนก็ไม่เป็นไร เพราะแบรนด์ก็มีตัวช่วย เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้า และย้ำชัดถึงจุดยืนที่ไม่ได้อยู่ในกรอบความงามเดิมๆ

เช่นเดียวกับที่ โจแอนนา เจ เคนนี (Joanna J Kenny) ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชาวอังกฤษวัย 31 ปี จึงลองโพสต์รูปริมฝีปากของตัวเองแบบโคลสอัปซึ่งเต็มไปด้วยหนวดที่ปัดมาสคาร่าสีน้ำเงินสดใสเพิ่มความน่ารักของมัน โดยมีแคปชั่นว่า “สำหรับเพื่อนๆ ที่มีหนวดเข้มๆ ทุกคน ฉันทาลิปสติกใหม่ และปัดมาสคาร่าสีน้ำเงินบนหนวด เพื่อเตือนใจว่าขนบนใบหน้าเป็นเรื่องปกติ!” สิ่งที่เธอทำทรงพลังอย่างไร้ที่ติ เพราะทำให้สาวๆ หลายคนกล้าที่จะลุกขึ้นมามั่นใจกับหนวดของตัวเองได้อีกครั้ง

ภาพของโจแอนนา พาเราตั้งคำถามว่า มนุษย์เราถูกปลูกฝังค่านิยมลบๆ เกี่ยวกับหนวดมาตั้งแต่ตอนไหน จนได้คำตอบว่าความคิดนี้มีมาตั้งแต่ยุคหิน ไล่ยาวมาถึงอียิปต์โบราณ กรีซ และจักรวรรดิโรมัน ที่ล้วนใช้เปลือกหอย ขี้ผึ้ง กำจัดขน หากอิงจากหนังสือประวัติศาตร์เรื่องผม ‘Encyclopedia of Hair: A Cultural History’ ของ วิกตอเรีย เชอร์โรว์ (Victoria Sherrow) จะกล่าวว่าคนสมัยก่อนมองว่าการไม่มีขนคือการรักษาความสะอาด และชาวโรมันโบราณยังมีแนวคิดว่า ยิ่งผิวเรียบ ยิ่งบริสุทธิ์ ดูเป็นคนชนชั้นสูง

การส่งต่อค่านิยมเรื่องขน เริ่มผูกเข้ากับการกดทับผู้หญิงในช่วงศตวรรษที่ 19 โดย รีเบคกา เฮอร์ซิก (Rebecca Herzig) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเพศภาวะ และเพศวิถี ที่ Bates College ในรัฐเมน กล่าวว่า เมื่อคนอินทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วิน นำมาโยงเข้ากับเรื่องขนตามร่างกาย ที่มองว่าการมีขนนั้นด้อยพัฒนา ทำให้มีนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษเริ่มแนะนำว่า การมีขนให้น้อยที่สุด เป็นสัญญาณของวิวัฒนาการ และเพิ่มเสน่ห์ทางเพศ

แล้วเพศที่ว่าคือเพศไหน คำตอบคือ ผู้หญิงนี่แหละที่ถูกกดดันให้หาวิธีกำจัดหนวด เฮอร์ซิกเล่าต่อว่า การสร้างความเกลียดชังนี้ส่งผลในศตวรรษที่ 19 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ออกมาพูดเรื่องขนให้มันดูเป็นปัญหาใหญ่ๆ ของผู้หญิง ทั้งการผกผันทางเพศ โรคทางพยาธิวิทยา ความวิกลจริต ไปจนถึงความรุนแรงทางอาญา และในช่วงต้นทศวรรษ 1900 เราจะเห็นหญิงชาวอเมริกันผิวขาวชนชั้นสูง และชนชั้นกลาง ผิวเรียบเนียนไร้ขน ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความเป็นผู้หญิง และขนตามร่างกายของผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ทวีคูณความเกลียดชังผู้หญิง โดยมองว่าผู้หญิงมีหนวด หรือขน คือคนหยาบคาย ชนชั้นต่ำ หรือผู้อพยพ

พูดง่ายๆ ว่ามันเป็นวิธีที่ใช้ควบคุมบทบาทของผู้หญิงในสังคม โดยใช้ความอับอายกดทับพวกเธอ

“ไม่ว่าจะขนอะไรก็แล้วแต่ที่มองเห็นจากภายนอกบนร่างกายผู้หญิง ปัจจุบันก็ยังถูกมองว่าไม่ดีอยู่ มันกลายเป็นบรรทัดฐานในสังคมที่เกิดขึ้น ว่านี่คือความสะอาด ซึ่งจริงๆ การกำจัดขนส่วนใหญ่ก็มักทำให้ผิวโดนเสียดสี และบางรายติดเชื้อได้เหมือนกัน” ประโยคของเฮอร์ซิกตรงกับที่โจแอนนา อธิบายว่า ก่อนเธอจะมั่นใจในหนวดของเธอ เธอก็เคยอาย และเอาออกทุกวิธี จนพบข้อเสีย คือ การกำจัดขนทำให้สิวบนหน้า รวมถึงผิวของเธออักเสบรุนแรง

บางคนมองว่าการที่เห็นผู้หญิงมีหนวดเป็นเรื่องแปลก และร้ายแรงเหลือเกิน แต่ความเป็นจริงมันคือหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์ ลองคิดดูมนุษย์ทุกคนจะเกิดมามีลักษณะ รูปร่าง หน้าตาเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ จริงไหม? เหมือนที่ ดร.ไซนับ ลาฟตาห์ (Dr Zainab Laftah) แพทย์ผิวหนังที่ HCA The Shard ให้ข้อมูลว่า ผู้หญิงที่มีภาวะขนดก (Hirsutism) นั้นมีความไวของผิวหนังที่เพิ่มขึ้นต่อแอนโดรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ส่วนสาเหตุอื่นๆ อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ การใช้ยาบางชนิด ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing's syndrome) ที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอลในระดับสูงเป็นเวลานาน หรือบางรายเป็นเพราะพันธุกรรม หรือชาติพันธุ์ของคนคนนั้นเอง เช่น ผู้หญิงในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และเมดิเตอร์เรเนียน

แรงกดดันทางสังคมอาจทำให้ผู้หญิงรู้สึกอับอายกับหนวดของตัวเอง ดร.ลาฟตาห์ เห็นปัญหานี้ที่ฝังลึกมานานว่า แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเอง การกำจัดขนบนใบหน้า หรือหนวด ก็ยังไม่ใช่หัวข้อการสนทนาที่เปิดเผย ว่าฉันโกนหนวดนะ ต้องเก็บไว้หลังประตูให้เงียบ เพราะขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่สบายใจในแต่ละสถานการณ์ทางสังคม วิตกกังวลกับหนวดต่อความสัมพันธ์ หนักไปถึงคุณภาพชีวิตที่ต่ำลง และภาวะซึมเศร้า

“ผู้ชายยังมีทางเลือกว่าจะไว้หนวด หรือโกนหนวดได้เลย ผู้หญิงก็ควรได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้นเช่นกัน” ดร.ลาฟตาห์ กล่าว

‘หนวด’ ควรถูกยอมรับจากความสบายใจของเจ้าของหนวด ไม่ควรถูกกดดันจากบรรทัดฐานทางสังคมที่ชี้นิ้วว่าอะไรถูก อะไรผิด อันไหนสวย อันไหนไม่สวย ถึงเวลาที่เราจะโอบรับทุกความงาม ทุกเอกลักษณ์ ทั้งจากปรุงแต่ง หรือจากธรรมชาติ เพราะไม่ว่าจะงามแบบไหน ก็ไม่ได้ลดทอนความเป็นหญิง หรือคุณค่า และศักดิ์ศรีของคุณได้เลย

ถ้าสาวๆ คนไหนอยากปล่อยหนวดของตัวเองไว้ และไม่อยากเอามันออกแล้ว มั่นใจเข้าไว้ แล้วลุยเลย!

อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/style/article/why-women-feel-pressured-to-shave/index.html

https://www.glamourmagazine.co.uk/article/joanna-kenny-facial-hair

https://www.refinery29.com/en-gb/removing-facial-hair-women

รูป:  Billie

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

Content Creator

Related Stories

ผู้หญิงมี ‘หนวด’ เรื่องธรรมชาติ ที่ไม่ได้ลดทอนความเป็นหญิง และไม่ควรเป็นสิ่งผิดปกติ

beauty-style

ผู้หญิงมี ‘หนวด’ เรื่องธรรมชาติ ที่ไม่ได้ลดทอนความเป็นหญิง และไม่ควรเป็นสิ่งผิดปกติ

MIRROR'sGuide